17/5/53

เที่ยวพม่า 3 ต่อ

ขากลับให้แท็กซี่ไปส่งที่พระเจดีย์ชเวดากองอันมีชือเสียงของพม่า ที่ตกลงกันไว้ว่าจะเดินทางพรุ่งนี้วันนี้เลยมีเวลาอีกแค่ครึ่งวันต้องดูให้คุ้มว่างั้นเถอะ รถมาจอดปากทางเพราะเขาไม่ให้รถเข้าต้องเดินกันอีกไม่ไกลมากนัก พอเข้าเขตวัดคราวนี้ต้องถอดรองเท้าเดิน แม่บุุญนะไม่เท่าไหร่ แต่มิเชลนี่สิ..ขนาดใส่รองเท้าแกยังต้องมีที่รองพื้นพิเศษอีกที นี่เดินเท้าเปล่าคงเจ็บน่าดูแต่แกใจแข็งไม่บ่นสักคำ ว่าแล้วก็เดิน ๆ ๆ เราสองคนเดินผ่านด่านมาโดยไม่มีคนเก็บเงินกับเรา แปลกดี หรือหน้าตาจะเข้าข่ายคนพื้นเมืองซะก็ไม่รู้ ร้านขายของที่ระลึกสองข้างบันได มีอะไรต่ออะไรมากมายให้เลือกซื้อ แต่ไม่ได้ซื้อหรอกเก็บไว้ซื้อวันสุดท้ายนั่นแหละ ขี้เกียจหอบเป็นบ้าหอบฟาง เดี๋ยวสามีส่งค้อนให้อีก

มิเชลขอนั่งรอเพราะเจ็บเท้า แม่บุญเลยขอเดินดูรอบ ๆ บริเวณเจดีย์ ทองที่ทาทาบตัวเจดีย์สะท้อนแสงสีทองจนแสบตา เป็นบุญที่ได้มาเห็น มาไหว้สักการะ ขอพรจากพระธาตุที่สถิตอยู่ภายในใหคุ้มครองเราสองคนให้เดินทางด้วยความปลอดภัยทั้งไป กลับและให้มิเชลหายเจ็บเท้าที่ผ่าตัด แล้วแม่บุญก็เดินรอบ ๆ จนได้ที่เหมาะขอนั่งสมาธิสัก ๑๕ นาทีก็ยังดี พักใหญ่แม่บุญก็ลุกเดินไปหามิเชล ๆ ค่อยยังชั่วแล้ว แกขอเดินดูบ้างแม่บุญเลยได้โอกาสนั่งไหว้พระอีกครั้ง มาทั้งทีขออิ่มบุญให้เต็มที่เถอะ


เที่ยงนั้นเราเดินหาร้านอาหารกันรอบ ๆ บริเวณเจดีย์แต่ไม่มีเลยเดินกลับไปกินข้าง ๆ โรงแรมเป็นอาหารพื้นเมืองของพม่า แม่บุญเลือกกินปลาทอดจนเกรียมราดซอสเผ็ด ๆ ส่วนมิเชลสั่งไก่ทอดกับข้าว อาหารทนี่ไม่ค่อยอร่อย รสชาติผสมปนเปทั้งแขก จีน ไทย แต่ไม่ปรับปรุงรสชาติให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนอาหารไทย ที่เห็นขายกันข้าง ๆ ทางก็มีเลอะเพ็ตโตะ คล้าย ๆ ยำรวมถั่ว บางทีก็เปลี่ยนเป็นกะหล่ำ มะเขือเทศ แล้วแต่คนกินจะสั่ง เราสองคนไม่กล้าลองเพราะมองเห็นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีคลาบไคล้เหมือนไม่เคยทำความสะอาดเลยได้แต่มองเฉย ๆ มาที่นี่แม่บุญถูกน็อคเพราะชอบชิม แต่ชิมไม่ได้ไม่รับประกันว่าจะท้องเสียหรือไม่ เก็บไว้ชิมที่บ้านเราก็แล้วกัน

เราเดินกันหลายกิโลเมตรทีเดียว เลี้ยวเข้าซอยเล็กซอยน้อย ตึกรามบ้านช่องไม่ได้สวยงาม แต่กลับเก่าซอมซ่อ ตึกสวย ๆ ที่เมื่อก่อนอังกฤษเคยมาสร้างไว้เมื่อครั้งตกเป็นเมืองขึ้นของเขาถูกทิ้งให้รกร้าง เก่าแบบไม่คิดจะอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างสวยงามไว้เลย ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ตึกสูง ๆ ที่เห็นหากเป็นบ้านเรือนก็อย่าหวังว่าจะมีลิฟต์ให้ขึ้นลงสบาย ๆ เดินจ้า เดินและเดิน มิน่าถึงไม่ค่อยเห็นคนอ้วน ได้ออกกำลังกันทุกวันแบบนี้เอง หมู เห็ด เป็ด ไก่ ก็หากินยาก อีกอย่างที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในตอนกลางวัน เป็้นการประหยัดที่น่ากลัวไม่น้อย เพราะอาหารการกินที่ต้องเก็บในตู้เย็นก็บูด เน่าหมด นอกจากร้านที่มีกะตังค์หน่อยก็จะมีเครื่องทำไฟฟ้าหน้าบ้าน ๆ ใครรวยก็ซื้อครื่องใหญ่ สร้างความลำบากในการเดินถนนชมเมืองเพราะต้องคอยเดินหลบเครื่องปั่นไฟตลอดทาง


ส่วนโรงแรมใหญ่ ๆ มีเครื่องปั่นไฟเองเหมือนกันแต่ทำหลบไว้ด้านหลัง ด้านหน้ามีเจ้าหน้าทียืนคอยดูแลความปลอดภัยหน้าตาไม่ยิ้ม ของกินเล่นมีขายตลอดทางเดิน หมาก..ที่ชาวพม่าชอบเคี้ยวกันหยุบหยับมีขายเป็นแผงเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตามหัวมุมถนน บางทีก็วางเรียงซ้อนเสียสวยงาม กับเครื่องเคราต่าง ๆ ใครจะซื้อก็หยิบไป จ่ายเงินแล้วเเคี้ยวได้เลย เห็นแล้วก็อยากลอง แต่ไม่เอาดีกว่า...ลำบากจริงกับการชอบกินเนี่ย..

เดินจาก Bogyoke market เดินไปเดินมาจนถึง Sule Pagoda เล็งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าจะเข้าไปดูพอดีเห็นเขาเก็บค่าผ่านประตู เลยไม่เข้าก็เล่นเขียนไว้ว่าไม่เก็บค่าดู แต่ถือขันรับบริจาคแบบไม่ให้ก็ไม่ได้ เดินไปจนเจอทางเข้าที่ไม่มีคนเฝ้าเลยเดินชมเสียรอบสบายใจไทยแลนด์ ขาลงดันลงทางที่เขารออยู่ งานนี้เลยต้องจ่ายแบบไม่เต็มใจ นึกว่ารอดแล้วเชียว...

มิเชลยืนยิ้มแป้นแล้นรออยู่ข้างนอกเพราะขี้เกียจถอดรองเท้า อ้อ..นึกออกแล้วเขาบอกว่าเป็นค่าดูแลรองเท้า พอเราบอกว่าเราถือเองดูแลเองได้เขาก็บอกว่าเป็นการทำบุญ...ว่ากันไปไม่รู้ทำบุญให้ใคร ??

เดินออกจากที่่นั่นตั้งท่าเดินไปท่าน้ำเพราะอยากดูพระอาทิตย์ตกน้ำ เดินได้ครึ่งทางก็มีชายใจดีมาถามแลกเงิน พอได้ยินอัตราแลกเปลี่ยนแทบจะเขย่าตัวถามว่าจริงหรือ เพราะเธอเล่นให้มากกว่าเดิมคือ ๑ ดอลล่าร์ แลกได้ ๑๒๐๐ จ๊าต น่าเสียดาย..สองเฒ่าคิดว่าเจ๋งแล้วเลยแลกเสียแทบหมดตัว ..ฮ่า.ฮ่า..ใครจะไปเที่ยวเก็บไว้เป็นข้อคิด อย่าแลกเงินหมดในครั้งเดียวเป็นอันขาด ไม่ต้องแลกเงินดอลล่าร์ให้เสียเวลา เงินไทยแบงค์พันแลกได้ไม่น้อยไปกว่าดอลล่าร์ นอกจากบ้านนอกจริง ๆ เขาไม่เอาเงินตระกูลอื่นใดนอกจากเงินจ๊าตจ้า

เย็นนั้นเราสองคนนั่งดูพระอาทิตย์ตกน้ำที่ท่าน้ำ อยากไปท่าเรือที่มีคนขึ้นลงมากมายแต่เขาไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าแฮะ ..ไม่รู้ทำไม เจอผู้ชายคนหนึ่งเขานั่งอยู่ก่อนกับแฟน เลยได้คุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ได้ความมาว่าเมล์ต่าง ๆ ที่จะส่งเข้าหรือส่งออกจากพม่า รัฐบาลเขาควบคุมหมด เพราะไม่อยากให้เอาเรื่องราวในประเทศไปพูด ส่งรูปอะไรไปให้ใครพวกเขาก็ไม่ได้รับหรอกเพราะเป็นการมอมเมา ฉะนั้นไปพม่าไม่ต้องไปส่งเมล์ให้เสียตังค์มันล่มหมดแหละ ??? อ้อ..ไม่ต้องไปพูดเรื่องการบ้านการเมืองของเขาด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เดี๋ยวเจอดี ..

อาหารมื้อเย็นเรากินกันที่ภัตตาคารริมท่าน้ำ เป็นแบบอาหารจีนค่อยสบายใจเรื่องความสะอาดขึ้นมาหน่อย อีกอย่างพี่แกมีเครื่องปั่นไฟอันโต กับตู้เย็น น่าจะพอเชื่อใจได้ว่าเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จะไม่บูดเสียก่อนเอามาปรุง คนมากินเยอะทีเดียวรวมทั้งคนมีกะตังค์ของเขาดูจากการแต่งตัวและเฟอร์นิเจอร์ประจำตัว ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันอย่างคือ โทรศัพท์มือถือ คุยไป กินไป โก้จริง ๆ กินเสร็จเราก็เรียกแท็กซี่กลับวัง..อุ้ยไม่ใช่ กลับที่พัก นอนเอาแรงไปผจญภัยที่แท้จริงที่จะตั้งต้นในวันพรุ่งนี้กัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น