25/6/53

ในที่สุดก็ต้องเจอ..ดีจนได้

แม่บุญเกิดอาการปวดท้อง..มันค่อย ๆ เริ่มทีละน้อย ๆ ๆ ต่อมาตัวเริ่มเย็น หน้าซีดเป็นไก่ต้ม มีอาการเหมือนจะเป็นลม คิดว่าเหนื่อยจากการปั่นจักรยานเลยขอนอนพักบนเตียง ..ไม่ถึงสิบนาที แม่บุญรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ทั้งถ่าย ทั้งอาเจียน แบบสุด ๆ ของที่สุด มิเชลตกใจเพราะหากเกิดะไรขึ้นเราจะไปหาหมอที่ไหน แกทำอะไรไม่ถูก จนแม่บุญบอกให้ไปบอกรีเชฟชั่น เผื่อเขาจะมียาช่วยได้ เราสองคนประมาทที่ไม่ได้เตรียมยาสามัญประจำบ้านมากันเลย


รีเชฟชั่นรีบมาดูอาการแม่บุญ จับมือ จับท้อง สักพักก็หายไป กลับมาพร้อมชาพม่าในมือ แล้วบอกให้แม่บุญดื่มให้หมด แม่บุญดื่มอย่างที่บอก...นอนพักอีกครั้ง แต่หัวยังไม่ถึงหมอน คราวนี้เหมือนไส้ในท้องมันจะออกมาด้วย เพราะอาเจียนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้าวที่กินไปตอนเที่ยงมันออกมาลอยเป็นมันย่องไปทั้งอ่างล้างหน้า มิเชลต้องรีบเผ่นออกไปตั้งหลักข้างนอกเพราะแกเกิดอยากอาเจียนตามภาพที่เห็น แม่บุญนั่งพับอยู่กับโถส้วมนั่นเอง..จะรอดไหมเนี่ย ??


หลังอ้วกแบบสุด ๆ มานั่งรับลมหน่อย

หลังจากอ้วกแบบโลกาวินาศ เรี่ยวแรงทั้งหมดหดหายไปทันที รีเชฟชั่นกลับมาอีกครั้งพร้อมน้ำชา คราวนี้แม่บุญขยาดไม่กล้าดื่ม แต่เธอบอกว่าต้องดื่มล้างพิษในท้องให้หมดจะได้หาย เอา..ก็เอา ดื่มอีกครั้งคราวนี้ได้รสหวานจากน้ำตาล เขาคงกลัวช็อคเลยใส่น้ำตาลมาในชาด้วย คราวนี้มีอาการปวดท้องอย่างเดียวแต่ไม่อาเจียนอีก ..


แม่บุญสลบไสลอยู่บนเตียงนั่นเอง เย็นนั้นเลยอดข้าวเย็นกันทั้งคู่ มิเชลเป็นห่วงแต่ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นอนเป็นเพื่อนอยู่ใกล้ ๆ คืนนั้นแม่บุญหลับเป็นตายเพราะเหนื่อยจากถีบจักรยานและจากการอ้วกแบบถล่มทลายท้อง พรุ่งนี้เราต้องเดินทางไกลกันแล้ว สาธุ...อย่าให้เป็นอะไรมากกว่านี้เลย

24/6/53

เที่ยวหมู่บ้านกลางทะเลสาบอินเลอีกครั้ง 2


แม่บุญหนีมิเชลเที่ยวคนเดียว




  ชาวบ้านกลับจากทำงาน



หมู่บ้านกลางทะเลสาบ


                เราเดินกลับมาเอาจักรยานที่ร้าน ขอบคุณที่เขาใจดีให้เราจอดเสียนาน ระหว่างทางเห็นชาวบ้านกำลังเอาควายลงนาเพื่อดำนา คิดถึงยายอีกแล้วเรา .. ยายของแม่บุญมีที่นามากมาย แต่มีลูกสาวคนเดียว ไม่เคยยอมให้ลูกทำนาเหมือนตัวเอง แม่..เลยทำนาไม่เป็น พอยายตาย แม่..เลยยกนาให้ญาติหมดเลย ตัวเองได้รับส่วนบุญเวลาเขาเกี่ยวข้าวแล้ว เรียกให้เอารถไปใส่ข้าวหลายกระสอบมากินกันทุกปี

กลับโรงแรมกันเถอะ..เริ่มค่ำแล้ว คราวนี้ปั่นกันแบบไม่หยุด ระหว่างทางเจอชาวเนเธอร์แลนด์สองคนสามีภรรยา บอกว่าเดินทางเที่ยวทุกพื้นที่ของพม่าด้วยจักรยาน นับถือพี่แกจริง ๆ เพราะลำพังรถเช่าแบบเรายังแทบแย่ นี่ปั่นกันทั้งวัน คนประเทศนี้เขาคงเกิดมาพร้อมล้อจักรยานแน่ ๆ แม่บุญว่า ที่เบลเยี่ยมเขาก็ปั่นกันเยอะเหมือนกัน

              อีกทีเจอชาวจีน ผู้หญิงสาวสองคน อยากจะบอกว่ากลับเถอะเพราะระยะทางไกลและเกือบค่ำแล้ว อันตราย..เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า แต่ยังไม่ได้พูดเพราะพวกเขาปั่นไปไกลแล้ว..ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน กลับมาถึงโรงแรมประมาณห้าโมงครึ่ง ได้คืนจักรยานให้พนักงานถีบกลับบ้านพอดี

เที่ยวหมู่บ้านกลางทะเลสาบอินเลอีกครั้ง

ถนนหนทางค่อนข้างขุระขระ หลบหลุมกันแบบจักรยานวิบากก็ไม่ปาน บางครั้งมีรถสวนทางมาต้องลงเดินเพราะฝุ่นฟุ้งไปหมด กว่าจะไปถึงอาหารที่กินมาก็ย่อยหมดพอดี เราไปถึงทางแยกเข้าหมู่บ้าน แต่เราเลี้ยวออกไปด้านที่มีสะพานข้ามไปหมู่บ้านในทะเลสาบ แต่ต้องจอดจักรยานฝากไว้กับร้านขายของชำ แล้วเดินต่อเข้าไป สะพานยาวสุดสายตาที่เห็นจะไปสิ้นสุดที่ไหนหนอ ??? สีน้ำกับฟ้าไม่แตกต่างกันเลย มิเชลเหนื่อยเพราะแดดร้อนมาก เลยขอนั่งพักที่ศาลาริมน้ำ ลมพัดเย็นสบายจนแกขอนอนแทน




                                        สะพานที่ทอดยาวสุดสายตาไปที่หมู่บ้านกลางน้ำ

แม่บุญขอเดินไปให้สุดสะพานเพราะอยากรู้ว่าที่สุดแล้วจะไปถึงไหน เดินไปจนสุดสะพานจริง ๆ คราวนี้ต้องหยุด เพราะหมู่บ้านเล็ก ๆ ข้างหน้าใช้เรือในการสัญจร ไม่นานก็มีเด็กผู้ชายอายุไม่เกินสิบห้า ถามแม่บุญว่าอยากนั่งเรือเที่ยวรอบ ๆ หมู่บ้านไหม เขายินดีพายเรือให้ เพียงแต่ให้ค่าบริการนิดหน่อย ฟังแล้วก็ใจอ่อนไปก็ไป มองกลับไปที่ศาลาไกลลิบ ๆ มิเชลคงยังนอนอยู่..ไปนั่งเรือเที่ยวดีกว่า



                                              เป็นครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงพายเรือที่นั่น

มองดูวิธีการพายเรือด้วยเท้าแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ ฟังเสียงไม้พายตวัดผ่านน้ำไปมาช่างเพราะเสียจริง เรือลอยลำไปช้า ๆ เหมือนจะให้แม่บุญได้เก็บภาพต่าง ๆ ไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด ตอนเรือผ่านไปตามบ้านต่าง ๆ เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ กำลังอาบน้ำ เขาอายแม่บุญรีบใส่เสื้อ แต่ใส่ลองจีผืนเล็กไม่ทัน เด็กน้อยรีบนั่งลงบนกาบเรือแล้วเอาผ้ามาคลุมตักไว้ แม่บุญอดถ่ายรูปน่ารักนี้ไว้ไม่ได้ ได้แต่หัวเราะหึ ๆ คนเดียว เด็กหนอเด็ก ช่างไร้เดียงสาเสียจริง


                                                   เด็กน้อยพายเรือเป็นตั้งแต่เด็ก


ภาพถัดมาเป็นภาพด้านหลังผู้ชายคนหนึ่ง ที่กำลังใช้เท้าพายเรือไปข้างหน้า ภายในเรือมีต้นหญ้ามากมาย สงสัยจะเอาไปมัดทำเป็นสวนกลางน้ำแน่ ๆ ยังมีภาพคุณยายนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองคนแปลกหน้าอย่างแม่บุญแล้วยิ้มให้ อีกหน้าต่างหนึ่ง ..เด็กเล็ก ๆ สามสี่คนแย่งกันยื่นหน้าออกจากหน้าต่างยิ้มและโบกมือให้ ภาพบ้านทำด้วยไม้ไผ่กลางน้ำ ฯลฯ
หาแบบนี้ที่ไหนไม่ได้แล้ว แม่บุญถ่ายรูปอย่างลืมตัว ลืมเวลา จนหนุ่มน้อยบอกว่าจะไปส่งที่ศาลานั่นแหละถึงนึกได้ว่ามิเชลคงตื่นแล้ว


สัญญลักษณ์ของทะเลสาบอินเล




มิงกะลาบา





                                                      บ้านน้อยกลางน้ำ


ระหว่างทางเห็นเรือโดยสารที่บรรทุกชาวอินทากลับจากงานมาขึ้นที่ท่าเรือใกล้ ๆ แม่บุญให้ค่าเหนื่อยเด็กหนุ่มแล้วขอบคุณที่เขาพามาดูสิ่งสวยงาม เขาได้แต่ยิ้มและพายเรือจากไป แม่บุญรีบเล่าให้มิเชลฟังว่าไปเจออะไรมา คราวนี้พี่แกอยากไปบ้าง...แต่สายเกินไป เรามองดูนาฬิกา กะเวลาปั่นจักรยานกลับอีก ๑๐ กว่ากิโล ไปถึงโรงแรมค่ำพอดี ได้แต่ปลอบใจกันว่าถ่ายรูปไว้เยอะค่อยดูทีหลังก็แล้วกัน



                                                                       มิเชล...

ทำบุญบ้านกับชาวบ้านพม่า 2

เครื่องปรุงที่เห็นมีเพียงเกลือกับถั่วเน่า รสเปรี้ยวได้จากมะเขือเทศที่ใส่กันแบบไม่ยั้งมือ เหมือนที่แม่บุญได้ยินแม่พูดบ่อย ๆ ว่าทำกับข้างต้องให้ถึงเครื่องไม่งั้นไม่อร่อย ... จำกันไว้นะ เสร็จจากการเตรียมอาหาร พระท่านมาพอดี เขาเลยมาเชิญเราทั้งคู่ไปฟังพระสวดบนบ้าน


บ้านไม้หลังเล็กใต้ถุนสูง มีบันไดสี่ห้าขั้น จากนั้นเป็นห้องโถงกว้าง รอบ ๆ มีตู้ไม้ไว้ใส่ข้าวของต่าง ๆ มีเครื่องบูชาพระ บูชาผีบ้านผีเรือน รอบ ๆ ผนังเป็นไม้ขัดฝาโปร่งผสมไม้ไผ่ ติดรูปดาราคนโปรด พร้อมปฏิทินติดไว้หลายแบบ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นความแตกต่างกับบ้านทางภาคอิสานของไทยสมัยก่อนเลย ตอนเป็นเด็กไปเยี่ยมยาย ๆ ก็มีบ้านแบบนี้เหมือนกัน จะมีเพิ่มก็ชานเรือนที่ใช้เลี้ยงตัวไหมไว้ทอผ้าไหม และผ้าผ้ายไว้นุ่งเท่านั้นเอง



                                                            พระกำลังทำพิธีสวดมนต์

แม่บุญเลือกนั่งตรงมุมที่จะสามารถมองเห็นกิจกรรมทุกอย่างได้หมด ชาวบ้านที่มามองมาที่แม่บุญแล้วบอกว่าหน้าเหมือนชาวพม่า...นั่นสินะ ที่พระธาตุอินทร์แขวนหลาย ๆ คนเข้าใจผิดมาแล้ว ตอนไปอินเดียก็ว่าหน้าเหมือนคนอินเดีย เหมือนคนฮ่องกง สิงคโปร์ อินเตอร์ฯ ซะไม่มี บอกว่าเป็นคนอิสานกลับไม่มีใครเชื่อ ..น่าจะมีเชื้ออื่นปน ๆ นะ ..ว่ากันไป

พูดถึงชื่อของชาวพม่านี่ก็แปลก ๆ อย่างเด็ก ๆ เขาจะตั้งชื่อ เช่น มูมู มิมี่ แยะแยะ ฯลฯ ชื่อซ้ำกันสองพยางค์แบบนี้ ฟังดูตลกดี



                                         หนูน้อยเสื้อเขียวชื่อ มิมี่ เหมือนชื่อเล่นมิเชล เลย


แม่บุญตั้งอกตั้งใจฟังพระสวดเป็นพิเศษเพราะอยากรู้ว่าท่านสวดเป็นภาษาบาลี สันสฤตเหมือนพระไทยหรือเปล่า ??? ใช่เลย เหมือนกัน แต่สวดทำนองต่างกันเท่านั้น แม่บุญเองชอบทำบุญ ไหว้พระสวดมนต์เหมือนกัน พอท่านสวดเลยพูดตามได้ เล่นเอาชาวบ้านมองกันแบบแปลกใจ พอพระสวดเสร็จถามแม่บุญกันใหญ่ว่า..สวดได้ด้วยหรือ ?? แหม๋..จะว่าคุย สวดได้สิ แต่ก่อนมาเบลเยี่ยมใหม่ ๆ สามีไปทำงาน นั่งสมาธิ สวดมนต์แทบทุกวัน ไม่งั้นไม่รอด..เพราะต้องปรับตัว ปรับใจ ธรรมะ..เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ใครจะทำแบบแม่บุญได้เลย




                                          ภายในบ้านหลังน้อยที่เราได้แวะไปร่วมทำบุญ

ลืมเล่าไปว่า เวลาพระท่านสวดบางครั้งท่านจะเปลี่ยนเป็นท่านั่งยอง ๆ เหมือนหลวงพ่อคูณ ที่โคราชเลย บางครั้งก็นั่งธรรมดา สงสารมิเชลนั่งพับขาไม่เป็น แถมไม้กระดานแข็ง ๆ ไม่มีเบาะรองอีกต่างหาก งานนี้แกได้บุญไปเยอะ ถ้าไม่มีบุญเก่าทางพุทธศาสนาแกคงทำไม่ได้หรอก วันดีคืนดี แกก็พูด อรหัง สัมมาสัมพุทธัสสะ ..อยู่คนดียว..ถามว่าพูดทำไม แกบอก คิดถึงหลวงพ่อที่วัดไทยธรรมาราม..เอากับแกสิ

แล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ..อาหารแปลก ๆ มากมายวางอยู่ข้างหน้า รอให้ชิมและกินแบบไม่อั้นตามคำเชิญของเจ้าของบ้าน งานนี้ขาด เลอะเพ็ตโต๊ะ ยำสารพัดถั่วกับใบชาไม่ได้ ลองกินแล้วอร่อยทีเดียว แม่บุญเลือกกินปลาทอด และแกงที่ทำจากปลาตากจนแห้ง รสชาติคล้ายแกงเผ็ด น้ำมันเยอะจัง..ส่วนมิเชลกินแกงที่ทำจากเนื้ออะไรไม่รู้เพราะไม่ได้กินด้วย จานอื่น ๆ เราชิมนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะไม่คุ้นเคย ตบท้ายด้วยของหวาน ผลไม้ และชาร้อน..แบบพม่า


กินเสร็จปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง ระยะทางที่จะไปเที่ยวอีกตั้งสิบกว่ากิโลเมตร ตกลงเลยร่ำลาเจ้าของบ้านและทุก ๆ คนที่ใจดีให้เราได้มีโอกาสร่วมทำบุญด้วย ก่อนกลับเราสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง คราวนี้ได้ถีบจักรยานกับท้องที่หนักอึ้งด้วยอาหารไปที่หมู่บ้านไกลออกไป ....

23/6/53

ทำบุญบ้านกับชาวบ้านพม่า

๒๕ มกราคม ๒๕๕๓


เราตื่นเช้ากันด้วยความสดใส เพราะอากาศดีจริง ๆ ได้ยินเสียงไก่ขันตอนเช้าด้วย หลังอาหารเช้า แม่บุญกับมิเชลถามรีเชฟชั่นเรื่องขอเช่ารถจักรยาน เพราะที่จริงเป็นจักรยานของพนักงานที่มาจอดไว้ จะใช้อีกทีก็ตอนกลับบ้าน อย่ากระนั้นเลยเอามาหารายได้พิเศษเพิ่มเติมดีกว่า จำไม่ได้ว่าจ่ายตังค์ค่าเช่าเท่าไหร่ รู้แต่ว่าไม่แพงเลย เก้าโมงกว่า ๆ เราก็ออกเดินทางไปที่หมู่บ้านที่แม่บุญอ่านในหนังสือคู่มือเดินทางว่าสวยงามมาก ๆ ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของทะเลสาบอินเล


พร้อมแล้วสองนักท่องเที่ยวก็บึ่งจักรยานคนจน ไม่ต้องใช้น้ำมันไปตามทางด้านหลังโรงแรม ถีบไปได้จนถึงหน้าวัดจอดถามทางให้แน่ใจเสียหน่อย พอดีมีผู้ชายวัยกลางคนเดินข้ามถนนหน้าวัด เราเลยถามทาง เขาอธิบายอย่างใจดี พูดภาษาอังกฤษได้ดีเสียด้วย คงเป็นเพราะบุญบันดาล..อีกแล้ว เพราะเขาชวนเราอยู่ร่วมงานทำบุญบ้าน พร้อมอธิบายว่าพึ่งไปนิมนต์พระจากวัด ถ้าเราไม่มีธุระปะปังที่ไหน ให้แวะมาดูวัฒนธรรมแบบพม่าและชวนกินข้าวด้วยกันอีกต่างหาก


                                             ทา ทานาคา ก่อนพระมาจะได่หล่อ ๆ


งานนี้เราสองคนหูผึง...ตามเคย ใครจะนึกว่าอยู่ ๆ จะมีโอกาสได้ร่วมทำบุญกับชาวบ้านแบบนี้ ว่าแล้วก็ลงจูงจักรยานเดินตามชายใจดีข้ามถนนไปอีกหน่อยก็ถึงบ้านเขาแล้ว ภายในบริเวณบ้านนอกจากเจ้าของบ้านและลูก ๆ หลาน ๆ แล้ว ยังมีเพื่อนบ้านใกล้เคียงมาร่วมช่วยทำอาหารเลี้ยงพระกันกลางลานดินข้างบ้านนั่นเอง งานนี้ของชอบของแม่บุญ เผื่อจะได้วิธีการทำอาหารแบบพม่าไปทำกินบ้าง
 
 

หลานสาวเจ้าของบ้าน มิมี่ กำลังแต่งหน้า

 
ว่าแล้วก็ขออนุญาตเจ้าของบ้านร่วมนั่งดูกรรมวิธีการทำอาหารแบบพื้นเมืองแท้ ๆ กันเลย ส่วนมิเชลยืนคุยอย่างออกรสกับเจ้าของบ้าน เสียงอธิบายไกล ๆ ว่ามาจากไหน มาทำอะไร เหมือนทุกครั้งที่มีคนถามเราทั้งคู่ แรก ๆ มิเชลแปลกใจที่เขาถามว่าจะไปไหน เพราะคนยุโรปเขาถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่คนเอเชียถือเป็นเรื่องปกติ จะถามเมื่อไหร่ก็ได้ หลังจากไปเมืองไทยทุกปี พี่แกเลยได้คำตอบแบบสุภาพว่า...คุณมิเชลไปธุระ ??? แบบนี้ไง
 
 

                                                        มิเชล..มาจากเบลเยียมครับ


เตาสำหรับทำอาหารข้างหน้าแม่บุญ ทำจากก้อนอิฐสี่ก้อน ตรงกลางมีฟืนที่ถูกไฟเผาจนร้อนได้ที่ กะทะที่ใส่น้ำมันจนท่วมตัวปลานิล ผู้หญิงอีกคนกำลังเคล้าเกลือกับขมิ้นบนตัวปลาเพื่อลดความคาวลง พอกระทะร้อนได้ที่ก็จับปลาลงทอดเสียงดังฉ่า.... ใกล้ ๆ กันอีกสองคนกำลังใช้กรรไกรตัดมะเขือเทศให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เขาไม่ยักใช้เขียง กับมีด แปลกตาดีเหมือนกัน อีกคนกำลังโขลกพริกทำเครื่องแกง ดูคล้าย ๆ อาหารทางภาคเหนือ น้ำพริกอ่อง..



ทำอาหารกลางลานแบบเปิดโล่ง



เขาไม่หั่นมะเขือเทศ แต่ใช้กรรไกรแทนมีด 




ปลานิลทอดขมิ้นร้อน ๆ




แกงเผ็ด ???

22/6/53

ถึงเวลาต้องจาก ทะเลสาบอินเล 2


                                                 วิวระหว่างทางนั่งเรือกลับที่พัก



ตอนที่เรือเริ่มเข้าเขตคลองเล็ก ๆ ที่นั่งผ่านกันเมื่อเช้า เห็นควายหลายๆ ตัวเดินเรียงเป็นระเบียบกลับคอก บางตัวนอนเคี้ยวหญ้าอย่างสบายอารมณ์ คงสบายจริง ๆ กับบรรยากาศรอบตัว แอบอิจฉาควายที่ได้อยู่ที่ดี ๆ แบบนี้...มิเชลเป็นคนพูดจ้า


                                     ถึงเวลากลับบ้านพักผ่อนหลังงานหนัก





กลับมาถึงโรงแรม ล่ำลาไซ ที่จะไปบ้านเพื่อนกินอาหารกันอีก ส่วนเราสองคนฝากท้องไว้กับร้านในเมืองเหมือนเมื่อวาน ค่ำนั้นเราสองคนพูดถึงแต่เรื่องทะเลสาบอินคา เป็นความประทับใจที่เราสองคนไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอ...พรุ่งนี้เราจะเที่ยวรอบ ๆ หมู่บ้านไม่ไกลจากที่นี่ เล็ง ๆ ไว้แล้วว่าจะเช่าจักรยานของโรงแรมไป เจอกันพรุ่งนี้นะ ...


มิเชล ไซ และเพื่อนที่ขับเรือบริการ

ถึงเวลาต้องจาก ทะเลสาบอินเล

21/6/53

13 วันในพม่า 2




กำหนดการเดินทางของเราคือ ๑๙ มารา ถึง ๓๑ มกรา เอาละหว่าต้องเตรียมตัวกันหน่อย ซื้อตั๋วเสร็จก็ต้องหาข้อมูลกัน หลังกินอาหารเที่ยงที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมือง แม่บุญขอแวะเข้าร้านหนังสือหาข้อมูลเดินทางเที่ยวพม่าเสียหน่อย เลือกอยู่นาน อ่านอยู่หลายเล่ม ไปได้ข้อมูลถูกใจอยู่เล่มหนึ่งเลยซื้อกลับมาอ่านต่อ และได้ใช้เป็นคู่มือจนถึงวันกลับทีเดียว นับว่าไม่เสียหลายเพราะหลายครั้งข้อมูลไม่ค่อยจะตรงนัก

เช้าวันที่ ๑๙ การเดินทางของเราสองคนก็เริ่มต้น แม่บุญกับสามีถือกระเป๋าเดินทางใบย่อม ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ให้น้องสาวขับรถไปส่งที่ปากซอย เพราะเราเห็นแล้วว่ามีรถเมล์สาย ๕๕๕ ที่ไม่หกวิ่งเลยเถิดไปถึงสนามบินใหม่ งานนี้ทั้งประหยัดและสบาย เสียค่าโดยสารคนละ ๓๔ บาท จับจองที่นั่งหน้าสุดไว้ชมวิวรถติด แอร์เย็นฉ่ำ ไม่ต้องจ่ายค่าทางด่วน ค่ามิเตอร์ที่ขึ้นพวด ๆ เวลารถติด เอาน่า..เราไม่ได้ขี้เหนียวหรอก หัดประหยัดกันแบบนี้จะได้มีเงินเที่ยวนาน ๆ ต่างหาก

รถวิ่งมาถึงสนามบินเกือบเที่ยงมีเวลาอีกสองชั่วโมง นั่ง ๆ เดิน ๆ สำรวจรอบ ๆ สนามบินใหม่ของเราใหญ่โตอลังการณ์ดีจริง ๆ เดินดูกันจนท้องร้อง แม่บุญเหลือบเห็นข้าวเหนียวไก่ทอด แหม่..ถ้ามีส้มตำด้วยละเด็ดเลย ว่าแล้วก็ซื้อติดไม้ติดมือมากันคนละสองอก ไก่ทอดใหม่ ๆ ข้าวเหนียวร้อน ๆ อดใจไม่ไหวเลยจัดการขั้นเด็ดขาดที่สนามบินนั่นเอง ..

เขาเรียกเช็คอินแล้ว มองดูคนที่มาเข้าแถว หน้าตาคล้าย ๆ แขกอินเดีย สาวพม่าหลาย ๆ คนที่มายืนเข้าคิว หน้าตาสวยงามราวกับดารา แต่งตัวแบบดาราไทยเด๊ะ ใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าส้นสูง ทันสมัยกว่าแม่บุญอีก แม่บุญขอที่นั่งแถวแรก ๆ เพราะไม่ชอบนั่งด้านหลังเครื่อง เคยเมาเครื่องอ้วกแตกมาหนึ่งครั้งเข็ดแทบตาย นั่งมาได้สักชั่วโมงกว่า ๆ เราก็มาถึง....พม่า

สนามบินย่างกุ้งไม่ใหญ่อย่างสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเรา น่าจะประมาณสนามบินในประเทศของเรานั่นแหละ ผ่านเข้ามาถึงเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หน้าตาท่าทางขึงขัง เอกสารสองชุดที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนต้องยื่นถูกแบ่งออกใส่คนละกล่อง แล้วเราก็ผ่านออกมาถึงนอกอาคาร รถแท็กซี่เก่า ๆ หลายคันจอดรอผู้โดยสาร มีผู้ชายหลายคนถามเราสองคนว่าจะไปที่ไหน แม่บุญกับมิเชลตกลงใจเลือกคนที่หน้าตาดูใจดีกว่าเขาเพื่อน ถามราคาเข้าตัวเมืองเพื่อไปโรงแรมที่เขาแนะนำไว้ในหนังสือ จำไม่ได้ว่าจ่ายค่ารถไปเท่าไหร่ เพราะพอไปถึงปรากฏว่าไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ คือ ที่แรก ห้องพักอับ แคบ ไม่มีแสงแดดให้เราเห็นเลย ที่ ๆ สอง เดินขึ้นไปถึงชั้นห้า กะว่าถ้าลืมของคงได้วิ่งกันขาลาก เพราะบันไดสูงชันเหลือเกิน กลัวตกลงมาคอหักตายก่อนได้เที่ยวเลยขออำลา

และอีกสอง สามที่ ๆ เราต้องเซย์โน แท้งคิว ๆ จะให้ไปพักโรงแรมห้าดาวคืนละหลายร้อยดอลล่าร์ คงอยู่ดูพม่าได้สามวันแล้วเผ่นกลับเมืองไทยเลย อีกอย่างเรามาเที่ยวตะลอนทัวร์ทั้งวัน เสียดายเงินหลายร้อยหากจะแค่นอนอย่างเดียว สุดท้ายแท็กซี่ก็พามานอนเกสต์เฮ้าท์ราคาคืนละ ๑๓ ยูเอสดอลล่าร์รวมอาหารเช้า ไม่ต้องไปเทียบกับโรงแรมหลายดาวเขาหรอก เอาเป็นว่าห้องสะอาด มีห้องน้ำในตัว มีอาหารเช้ากินก็ใช้ได้แล้ว อีกอย่างไม่ไกลจากตัวเมืองมากนักถ้านั่งรถนะ ไม่ใช่เดิน

เช็คอินแล้ว เข้าห้องนำทำธุระเสร็จก็ออกมาถามรีเชฟชั่นถึงที่แลกเงิน เขาแนะนำให้ไปแลกในตัวเมืองที่ตลาดสก็อตเพราะที่นั่นเป็นแหล่งรับแลกเงินและให้ราคาดี แต่เราต้องนั่งรถไปเพราะไกล ทำไงดีเราไม่มีเงินสกุลพม่าติดตัวเลย นอกจากเงินไทย ยูโร ยูเอส ตกลงสาวน้อยรีเชฟชั่นผู้ใจดีก็แนะนำให้เราแลกเงินที่เธอแค่ห้าดอลล่าร์ เอาแค่พอค่ารถและกินข้าวอีกนิดหน่อย ความคิดดีแฮะ ตกลงแลกมาตามนั้น

เดินออกจากที่พัก แฮะ ๆ เหมือนบ้านนอกเลย มีเพียงรถสามล้อถีบเล็ก ๆ และรถเมล์ที่นาน ๆ จะมาที เราเดินมาไกลมากจนถึงถนนใหญ่ มองซ้าย ขวา หารถเมล์ที่จะเข้าเมือง รั้ง ๆ รอ ๆ ไม่รู้จะไปยังไง พอดีมีเด็กผู้ชายน่าจะเป็นนักศึกษาถามเราสองคนว่าจะไปไหนเป็นภาษาอังกฤษ แม่บุญได้ทีรีบอธิบายคร่าว ๆ เขาบอกว่าจะไปทางนั้นพอดี เดี๋ยวจะนำทางไปให้

ตกลงเราเลยได้นั่งรถเมล์พม่าราคาถูกสุด ๆ ตั้งแต่วันแรก นับว่าไม่เสียเที่ยว มิเชลยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะพี่แกชอบอยู่แล้ว เมินเสียเถอะที่จะพาแม่บุญนั่งสบาย ๆ บนแท็กซี่ แกบอกว่ามาเที่ยวทั้งทีต้องทำตัวให้กลมกลืนกับพวกคนที่นี่ให้ได้ ใครได้สามีใจดีพาขึ้นแต่แท็กซี่นับว่าโชคดีไป ตอนนี้แม่บุญเริ่มชิน และเริ่มชอบเสียด้วย เพราะมันเข้าถึงจริง ๆ ถึงไหนหรือแม่บุญ...?? อ้าว ก็ถึงพม่านะสิ..ถามได้

รถมาจอดตรงถิ่นจอแจของเมือง ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่ามาถึงที่หมายแล้ว แหม่นั่งยังไม่หายมันส์เลยถึงเสียแล้ว เราสองคนขอบคุณผู้นำทางผู้ใจดี แล้วก็ลงรถมายืนข้างทาง เล็งให้จะ ๆ ว่าจะเอายังไงกับชีวิต มองไปทางไหนก็ไม่คุ้นเคย ๕ โมงกว่าแล้ว ต้องรีบ ๆ เพราะเดี๋ยวมืดค่ำจะกลับที่พักไม่ถูก เราเดินไปตามถนนใหญ่มองหาที่แลกเงินแต่ไม่มีที่ไหนเลย ผ่านไปเกือบชั่วโมง ไม่เอาแล้วหิวข้าว แต่ไม่มีเงินจ๊าด ที่มีก็คงไม่พอที่จะซื้ออะไรได้ ตกลงเราเลยเดินต่อจนมาถึงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง พนักงานชี้ชวนให้เข้าไปนั่งในร้าน เห็นหน้าตาข้าวหมกไก่ แล้วน่าจะพอไหว แม่บุญเลยถามเขาก่อนว่ารับเงินดอลล่าร์ไหม ? เจ้าของร้านพยักหน้าแต่บอกว่าให้น้อยกว่าที่เขาแลกทั่ว ๆ ไปนะ ตกลง..อ้อยเข้าปากช้างแล้ว เอาก็เอา พอข้าวคำแรกเข้าปากแม่บุญอดสงสารมิเชลไม่ได้เพราะไม่อร่อยเลย น้ำซุปเค็มถึงใจ มื้อแรกก็เจอดีเข้าเสียแล้ว แม่บุญเองไม่เป็นไรเพราะท้องพอจะชินกับอาหารแถบเอเซีย ..ตกลงหลังอาหารเราต้องนั่งแท็กซี่กลับเพราะไม่รู้ทาง และค่ำมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

20/6/53

เที่ยวหมู่บ้านหัตถกรรมที่ทะเลสาบอินเล 2

ที่บ้านน้ำปัน เป็นเขตติดต่อกับชาวเขาปะโอ เป็นชนเผ่าที่แต่งชุดดำ โพกศีรษะด้วยผ้าสีสดใส




ดาวล้อมเดือน

บ้านจ็อกเต็ง เป็นบ้านชาวไทใหญ่ ผลิตเครื่องปั้นดินเผา ที่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้



เรือเล็ก ๆ ทำจากไม้สักไว้ขายให้นักท่องเที่ยว


อีกหมู่บ้านที่เราไปจำชื่อไม่ได้ ที่นั่นมีการทำเครื่องเขินมากมาย แม่บุญติดตาต้องใจกับที่ใส่หมาก พลู เป็นศิลปเก่าแก่ของชาวพม่า สีที่ใช้ทาได้จากสีแดงธรรมชาติจากเปลือกไม้ มีการลงสีและรูปแบบวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนพม่า เขาขายเป็นยูเอสดอลลาร์ เราสองคนซื้อของเก่าจึงต้องควักกระเป๋ากันแทบหมดตัว เคยไปเดินที่ศูนย์การค้าใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นราคาแล้วตกใจ เพราะแพงกว่าที่เราซื้ออีกหลายเท่าตัว



                     เครื่องเขินเก่าของโบราณที่ยังสภาพดี กับราคาขายแพงระยับ....
 
แม่บุญตัดใจซื้ออันล่างกลมซ้ายมือมาอายุกว่าร้อยปี...และอีกสองชิ้น ตอนนี้เก็บไว้โชว์เวลามีแขกมาบ้าน อย่าถามราคานะ...เดี๋ยวตกเก้าอี้ ????  
 
            บ่ายกว่าแล้ว ท้องเริ่มหิว ไซพาเราสองคนไปส่งที่ร้านอาหารกลางทะเลสาบ ชื่อ Nice Restaurant แล้วก็หายตัวไปบอกว่าจะกลับมารับหลังจากนี้ ๑ ชั่วโมง น่าจะไปกินข้าวกับเพื่อนเหมือนกันแม่บุญนึก
 
 

ภัตตาคารกลางน้ำ




พนักงานต้อนรับยืนส่งแขก..

เราสองคนอ่านในเมนูมีอาหารทำจากปลา คล้าย ๆ งบปลาของไทย มิเชลสั่งมากินเพราะไม่เผ็ด ส่วนแม่บุญสั่งปลานึ่ง ตบท้ายด้วยสลัดมะเขือเทศ อยากลองว่าจะอร่อยจริงหรือเปล่า อร่อยจริง ๆ แฮะ ส่วนปลาเป็นปลานิลตัวขนาดย่อม เขาเลี้ยงไว้ในกระชังข้าง ๆ ร้านพอเราสั่งเขาก็ไปตกมาทำให้เรากิน เลยหวานเนื้อปลาไม่เลวเลย จะว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดตั้งแต่เรามาถึงพม่าคงไม่ผิด เพราะที่อื่น ๆ เรากินกันอย่างกลัว ๆ ว่าท้องจะเสียหรือเปล่า
 
 

อาหารสุดหรูมื้อเที่ยงของแม่บุญกับมิเชล
 
 

เที่ยวหมู่บ้านหัตถกรรมที่ทะเลสาบอินเล

เราเดินทางออกจากตลาดเอาเมื่อสายมากโข ไซบอกว่าจะพาไปดูหมู่บ้านหัตถกรรมต่าง ๆ ระหว่างทางเราจะเห็นสวนลอยน้ำที่เรียกว่า “ จุนโป่ว “ ที่ทำจากสาหร่ายที่มีอย่างมากมาย นำมาตากแห้ง มัดเป็นฟ่อนทุ่นขนาดใหญ่ สร้างเป็นสวนลอยน้ำ มีไม้ไผ่เสียบเป็นแนวยาวเป็นที่ปลูกมะเขือเทศ ระหว่างนั้นเรายังเห็นชาวบ้านออกเรือเก็บมะเขือเทศไปเป็นระยะ ๆ หมู่บ้านที่เราได้แวะชมมี





                              หญิงชาวอินทากำลังเก็บมะเขือเทศที่สวนลอยน้ำ

บ้านยัวมะเหนือ ทำกระดาษสา

บ้านยัวมะใต้ ทำเครื่องเงิน

บ้านเซเครา เป็นบ้านช่างตีเหล็ก ทำมีด ขวาน ดาบ


                             
                                                                  บ้านช่างตีเหล็ก เซเครา


บ้านอินปอคอม เป็นบ้านทอผ้า ที่ยังใช้หูก และกี่กระตุก กันอยู่ ที่นี่มีการทอผ้าที่ทำจากเส้นด้ายฟั่นจากใยก้านบัวหลวง เป็นผ้าที่หอมกรุ่น สีธรรมชาติออกน้ำตาล ราคาแพง เพราะทำยากและใช้เวลานาน ถือกันว่าผ้าใยบัวเคยเป็นผ้ารัดประคดของพระพุทธเจ้ามาก่อน ผู้ใช้ต้องถือศีล ๕ แต่ก่อนเขาทำถวายเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น ปัจจุบันได้ทอจำหน่ายให้ชาวพุทธและนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้อแล้ว ผืนละเกือบ ๑๐๐ ยูเอสดอลลาร์




เส้นใยจากก้านบัวหลวงที่ใช้ทำผ้าใยบัว




กี่กระตุกที่ยังใช้กันอยู่ พร้อมผ้าถุงที่ทำจากใยบัว

บ้านน้ำปัน ผลิตบุหรี่ขี้โย ซิการ์พม่า



                                                 เด็กสาวชาวอินทากับซิกการ์พม่า