17/5/53

ไปดูพระธาตุอินทร์แขวน

๒๑ มกราคม ๒๕๕๒


Kyaikhtiyo หรือ พระธาตุอินทร์แขวน


ตื่นกันแต่เช้ารีบกินข้าว แล้วออกไปยืนรอคนขับรถหรืออีกที่ก็ไกด์ของเรานั่นเอง พอดีมีพระมาตักบาตร เราเลยได้ใส่บาตรที่หน้าโรงแรมอิ่มบุญก่อนเดินทางว่างั้นเถอะ

ไกด์หนุ่มร่างเล็กน้ำหนักตัวไม่เกินสี่สิบกิโลกรัม เดินตัวปลิวผมตั้ง ยิ้มแฉ่งแถมเซย์เฮลโล มาแต่ไกล ชื่อเสียงเรียงนามคือ ไซ ตี้ ห้า มาจากรัฐฉานของพม่า คนที่นั่นพูดภาษาคล้ายคนไทยภาคเหนือ นับเลข หนึ่ง สอง สาม ฯ เหมือนกัน แต่ตลอดทางเราพูดภาษาอังกฤษกัน เพราะเข้าใจกันทั้งหมด ไม่งั้นต้องแปลเป็นฝรั่งเศสให้สามีฟังอีก งง..ตาย..ไม่รู้จะพูดภาษาอะไร ??

ว่าแล้วหนุ่มไซ ของเราที่จะได้ร่วมชะตากรรมร่วมกันเกินกว่า ๑๐ วันก็บอกแผนการคร่าว ๆ ว่าเราจะไปไหนกันบ้าง เราฟังไปพยักหน้าไป นึกภาพไม่ออกหรอกหงึกหงักไปยังงั้นแหละ เอาเป็นว่าไปดูพระธาตุอินท์แขวนกันก่อนอื่น ได้เวลาดี ๘ โมงเช้า เราสามชีวิตก็ก้าวขาขึ้นรถโตโยต้ากลางเก่ากลางใหม่ แอร์เย็นเป็นระยะถ้าอารมณ์ดี ไม่ลืมกล่าวอำลาเหล่าสาวน้อยรีเชฟชั่นใจดีทั้งหลาย ที่อุตส่าห์ไปหาต้นอะไรไม่รู้ชื่อ เอามาฝน ๆ แล้วเอามาทาแก้ม ป้องกันแสงแดด เขาเรียกว่า ทานาคา นั่นเอง คราวนี้ออกเดินทางได้

ไกด์ไซ ของเราขับรถซิ่งไม่เบาแบบนี้ถูกใจวัยรุ่น.. วิ่งไปร่วมชั่วโมงก็ออกนอกเมืองย่างกุ้ง เราจะต้องวิ่งรถลงทางใต้เพื่อไปชม Kyaikhtiyo หรือ พระธาตุอินทร์แขวน ที่เป็นก้อนหินถูกปิดด้วยแผ่นทองจนเหลืองอร่ามไปทั้งก้อน หินที่ว่าเอียงอย่างหมิ่นเหม่เหมือนจะตกจากหน้าผาแต่ก็ไม่ตก แถมตั้งมาอยู่ได้ร่วมพันปี มีประวัติความเป็นมา...อ่านจากเน็ตนะว่า ......

พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย (พม่า: ; MLCTS: kyuik hti: yu: อังกฤษ: Kyaikhtiyo) ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี พระธาตุอินทร์แขวน ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขา Paung Laung เหนือระดับ น้ำทะเล 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่สูง 5.5 เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ (สุนัข) ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต

บางที่กล่าวว่า ไจติโย เป็นภาษามอญ แปลว่า ก้อนหินสีทอง แต่ในภาษาพม่าแปลว่า ไก่ลอดได้

ตำนาน

มีตำนานเล่าขานกันในสมัยพุทธกาลว่า ฤๅษีติสสะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระเกศาจากพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงมอบให้ไว้เป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ให้ประชาชนสักการะ เมื่อครั้นได้มาแสดงธรรมเทศนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบพระเกศาต่างก็นำไปบรรจุในสถูปเจดีย์ ส่วนฤๅษีติสสะกลับนำไปซ่อนไว้ในมวยผม เมื่อเวลาล่วงเลยถึงคราวที่ฤๅษีติสสะจะต้องละสังขารเต็มที เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำพระเกศาไปบรรจุไว้ในก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกับศีรษะของเขา ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) จึงช่วยเสาะหาก้อนหินดังกล่าวจากใต้ท้องมหาสมุทรและนำมาวางหรือแขวนไว้บนภูเขาหิน บางตำนานก็เล่าว่า มีฤๅษีองค์หนึ่งซ่อนพระเกศาที่ได้รับมาจากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้นมาโปรดสัตว์ในถ้ำไว้ในมวยผมมาเป็นเวลานาน เมื่อใกล้ถึงวาระที่จะต้องละสังขารจึงตัดสินใจมอบพระเกศาให้กับพระเจ้าติสสะ กษัตริย์ผู้ครองนครแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของลูกศิษย์ที่นำมาฝากให้ฤๅษีช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก แต่ก่อนอื่นพระเจ้าติสสะต้องหาก้อนหินที่มีลักษณะคล้ายศีรษะของฤๅษี โดยมีพระอินทร์เป็นผู้ช่วยค้นหาจากใต้สมุทรนำมาวางไว้ที่หน้าผา...


ไกด์ของเราพาขับรถออกนอกเมืองผ่านเข้าเส้นทางย่างกุ้ง ไจ้กทิโย ใช้เวลาเดินทาง ๕ ชั่วโมงเหนาะ ๆ ถนนสองข้างทางบางแห่งยังเป็นหินลูกรังอยู่เลย อากาศไม่ร้อนมากแต่ฝุ่นนี่สิ...มันเยอะจริง ๆ ขับไปร่วมสองชั่วโมงก็ขอพักเข้าห้องน้ำ ดื่มกาแฟกันหน่อย แต่เราดื่มชากันเพราะอร่อยกว่าคล้าย ๆ ชาดำเย็นแต่หอมเครื่องเทศ น่าจะรับวัฒนธรรมมาจากอินเดีย เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ

เรามาถึงที่หมายคือบังกาโลให้เช่านอนพักได้ แต่ไซมาจอดที่นี่เพราะคุ้นเคยกันดีกับเจ้าของโรงแรม เนื่องจากพาแขกมาพักบ่อย แต่วันนี้เราจะไปนอนกันใกล้ ๆ พระธาตุเลยอุดหนุนเฉพาะอาหารกลางวัน กินเสร็จก็เดินไปที่ท่ารถเพราะเราต้องใช้บริการรถรับส่งของที่นี่เท่านั้น รถที่จอดอยู่เป็นเหมือนรถหกล้อบ้านเรา ด้านหลังเขาเอาไม้มาพาดเกือบ ๑๐ แถว ให้นั่งแถวละ ๖ คนห้ามขาดแต่เกินได้ คนอ้วน ๆ น่าจะมีปัญหาเพราะที่คับแคบมาก ๆ สองแขนเกาะราวรถไว้ได้เท่านั้น เราต้องรอจนกว่าคนจะเต็มรถเขาถึงจะออก ไม่ต้องดูเวลากันหรอกเพราะมันนานเหลือเกิน

พอรถเต็มสภาพไม่ต่างจากรถขนหมูที่เราเห็นเขาจะเอาไปโรงฆ่าสัตว์ เพราะเบียดกันสุด ๆ ขยับไม่ได้เลย โชคดีที่นั่งแถวแรกเลยมีที่จับเพราะเวลารถไต่ขึ้นเขามันเทลาดเหมือนจะเทกระจาด อยากไปดูของดีก็ต้องทรมานกันแบบนี้แหละ และแล้วรถก็เคลื่อนออกไปตามถนนที่ไต่ขึ้นเขาสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ งานนี้ไม่ได้ดูวิวหรอกเพราะมองไม่เห็น ได้แต่ภาวนาให้ถึงที่หมายเร็ว ๆ เท่านั้น รถจอดส่งชาวบ้านอยู่สอง สาม แห่งแล้วก็วิ่งตรงไปยังตีนเขา..

ยัง..ยังไม่ถึง เพราะพอมาถึงตีนเขา คราวนี้ต้องเดินจ้า เดินขึ้นเขาเหมือนขึ้นภูกระดึง งานนี้มีลูกหาบที่มายืนรอขนกระเป๋า หรือ มีแคร่สำหรับหามคนที่คิดว่าเดินขึ้นไม่ไหว ขนาดยังไม่ตายยังมีสี่คนหาม ..แฮะ..แฮะ..ค่าบริการคนละ ๔๐ ยูเอสขาดตัว ได้ยินแล้วเดินดีกว่า ระยะทาง แค่ ๒ กิโลเมตรกว่า ๆ จะกระไรนักหนา ว่าแล้วเราสามชีวิตก็มุ่งหน้าเดินขึ้นเขากันเลย

จำไม่ได้แน่ชัดว่าระหว่างเดินขึ้นภูกระดึงกับที่นี่ ที่ไหนลำบากกว่ากัน ถ้าจะบอกว่า..อายุ..ก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยกับการเดินแบบนี้ สมัยอายุยี่สิบเดินขึ้นภูกระดึงยังต้องนอนแผ่หลาข้างทางเพราะทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ที่นี่ก็เหมือนกันพอยิ่งเดินสูงขึ้น ๆ แรงขามันก็หดหายไปเรื่อย ๆ แม่บุญอ่อนแรงจนแทบจะขอขึ้นคานหาม คณะคานหามก็กระไรเลย เดินตามแม่บุญมาตั้งแต่ตีนเขา จนมาได้ครึ่งทางตอนนี้ลดราคาให้เหลือ ๒๐ ยูเอส ไซมองอย่างกังวลว่างานนี้แม่บุญจะไปรอดได้ไปไหว้พระธาตุหรือเปล่า ส่วนมิเชลพูดขึ้นมาว่า

« ฉันรู้ว่ามันลำบาก เหมือนตอนที่ฉันไปแข่งมอเตอรืไซค์วิบากข้ามทะเลทรายที่มอร็อคโค ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย หลาย ๆ คนถอดใจยอมแพ้ ..แต่ไม่ใช่ฉัน เพราะในเมื่อยังมีคนทำได้ แสดงว่าหากเราตั้งใจแล้วเราก็ต้องทำได้เหมือนกัน เรามีทุกอย่างเหมือนคนอื่น ๆ แค่เดินขึ้นเขาแค่นี้ หากแม่บุญทำได้ ฉันจะภูมิใจในตัวแม่บุญมาก «

เจอเข้าลูกนี้ เดินเป็นเดินว่ะ แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเริ่มตัวเย็น หน้าซีดเป็นไก่ต้ม มิเชลและไซบอกให้เดินช้า ๆ ๆ ส่วนลูกหาบบอกว่าขึ้นหาบเถอะ..สบายกว่ากันเยอะ เราจะแบกคุณไปส่งถึงที่ ตอนนี้เหลือ ๑๕ ยูเอสแล้วนะ ...

ในที่สุดคณะลูกหาบที่เดินตามมาก็เริ่มหยุดตาม เพราะเห็นแล้วว่าแม่บุญทำได้ อีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีแม่บุญก็เดินมาถึงที่หมาย...เหมือนที่มิเชลได้รับรางวัลชนะที่หนึ่ง จากการแข่งวิบากครั้งนั้น แม่บุญภูมิใจในตัวเองถึงกับเกือบน้ำตาไหล..รอดตายมาได้ไงนี่เรา เราเดินกันมาอีกไม่นานก็มาถึงโรงแรมที่เราจะพักกันคืนนี้ แม่บุญรีบเอาของไปเก็บแล้วรีบจะไปไหว้พระธาตุก่อนอาทิตย์อัสดง... ทำไมแม่บุญไม่รอสักนิดหนอ อีกแค่ ๑๕ นาที ๕ โมงเย็นเจ้าหน้าที่เขาก็จะกลับบ้านกันแล้ว นี่พอเห็นแม่บุญพวกเขารีบออกมาต้อนรับเสียดิบดี ...ค่าเข้าชม คนละ ๖ ยูเอส ค่ากล้องถ่ายรูป ๑๐๐ จ๊าตจ้า จ่ายเร็ว ๆ เพราะจะปิดทำการแล้ว โชคดีที่กล้องของแม่บุญอีกตัวอยู่ในกระเป๋าสะพายไม่งั้นต้องจ่ายเพิ่มอีก ... จะไปเที่ยวที่ไหนอย่าลืมดูเวลาทำงานของเขาเผื่อจะได้ไม่ต้องเสียกะตังค์เหมือนแม่บุญ..

แม่บุญเดินดูรอบ ๆ พระธาตุ คงเป็นเพราะแม่บุญเปลี่ยนใส่ผ้าถุงแถมผมดำ เลยไปคล้ายกับชาวพม่า ที่พูดแบบนี้เพราะพอเริ่มถ่ายรูป สาว ๆ พม่าวิ่งเข้ามาขอดูรูปแถมพูดภาษาพม่ากับแม่บุญยาวเป็นรถไฟ พอไปกราบพระธาตุ พระท่านก็ให้พร แถมคนนำสวดก็หันมาพูดภาษาพม่ารัวเร็ว กะ ๆ ดูว่าเขาชวนทำบุญตามศรัทธา แม่บุญทำบุญกับเขาแล้วก็ขอให้มิเชลเอาแผ่นทองไปปิดที่องค์พระธาตุให้ เพราะเขาไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปจับต้อง ให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ร่วมสองทุ่มเราสองคนถึงเดินกลับมาที่โรงแรม ๆ นี้ค่อนข้างใหม่ ห้องหับสะอาด นอนสบาย ไม่เลวเลย แล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็น คงเป็นเพราะอยู่บนเขาอากาศเลยค่อนข้างหนาว เรานั่งรอไกดืไซ ไม่นานเขาก็เดินยิ้มเข้ามาร่วมวง มิเชลขำไซแทบตายเพราะอุณหภูมิแค่ ๑๕ องศา ไซของเราเล่นงัดทั้งถุงมือ หมวก เสื้อกันหนาวแบบครบเครื่อง นี่ถ้ามาเจอลบสิบห้าเหมือนที่นี่เขาจะทำยังไงหนอ ?? กินข้าวเสร็จเราก็แยกกันไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางลงเขาแต่เช้า เพื่อเดินทางต่อไป...ตองอู..ราตรีสวัสดิ์

เที่ยวพม่า 3 ต่อ

ขากลับให้แท็กซี่ไปส่งที่พระเจดีย์ชเวดากองอันมีชือเสียงของพม่า ที่ตกลงกันไว้ว่าจะเดินทางพรุ่งนี้วันนี้เลยมีเวลาอีกแค่ครึ่งวันต้องดูให้คุ้มว่างั้นเถอะ รถมาจอดปากทางเพราะเขาไม่ให้รถเข้าต้องเดินกันอีกไม่ไกลมากนัก พอเข้าเขตวัดคราวนี้ต้องถอดรองเท้าเดิน แม่บุุญนะไม่เท่าไหร่ แต่มิเชลนี่สิ..ขนาดใส่รองเท้าแกยังต้องมีที่รองพื้นพิเศษอีกที นี่เดินเท้าเปล่าคงเจ็บน่าดูแต่แกใจแข็งไม่บ่นสักคำ ว่าแล้วก็เดิน ๆ ๆ เราสองคนเดินผ่านด่านมาโดยไม่มีคนเก็บเงินกับเรา แปลกดี หรือหน้าตาจะเข้าข่ายคนพื้นเมืองซะก็ไม่รู้ ร้านขายของที่ระลึกสองข้างบันได มีอะไรต่ออะไรมากมายให้เลือกซื้อ แต่ไม่ได้ซื้อหรอกเก็บไว้ซื้อวันสุดท้ายนั่นแหละ ขี้เกียจหอบเป็นบ้าหอบฟาง เดี๋ยวสามีส่งค้อนให้อีก

มิเชลขอนั่งรอเพราะเจ็บเท้า แม่บุญเลยขอเดินดูรอบ ๆ บริเวณเจดีย์ ทองที่ทาทาบตัวเจดีย์สะท้อนแสงสีทองจนแสบตา เป็นบุญที่ได้มาเห็น มาไหว้สักการะ ขอพรจากพระธาตุที่สถิตอยู่ภายในใหคุ้มครองเราสองคนให้เดินทางด้วยความปลอดภัยทั้งไป กลับและให้มิเชลหายเจ็บเท้าที่ผ่าตัด แล้วแม่บุญก็เดินรอบ ๆ จนได้ที่เหมาะขอนั่งสมาธิสัก ๑๕ นาทีก็ยังดี พักใหญ่แม่บุญก็ลุกเดินไปหามิเชล ๆ ค่อยยังชั่วแล้ว แกขอเดินดูบ้างแม่บุญเลยได้โอกาสนั่งไหว้พระอีกครั้ง มาทั้งทีขออิ่มบุญให้เต็มที่เถอะ


เที่ยงนั้นเราเดินหาร้านอาหารกันรอบ ๆ บริเวณเจดีย์แต่ไม่มีเลยเดินกลับไปกินข้าง ๆ โรงแรมเป็นอาหารพื้นเมืองของพม่า แม่บุญเลือกกินปลาทอดจนเกรียมราดซอสเผ็ด ๆ ส่วนมิเชลสั่งไก่ทอดกับข้าว อาหารทนี่ไม่ค่อยอร่อย รสชาติผสมปนเปทั้งแขก จีน ไทย แต่ไม่ปรับปรุงรสชาติให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนอาหารไทย ที่เห็นขายกันข้าง ๆ ทางก็มีเลอะเพ็ตโตะ คล้าย ๆ ยำรวมถั่ว บางทีก็เปลี่ยนเป็นกะหล่ำ มะเขือเทศ แล้วแต่คนกินจะสั่ง เราสองคนไม่กล้าลองเพราะมองเห็นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีคลาบไคล้เหมือนไม่เคยทำความสะอาดเลยได้แต่มองเฉย ๆ มาที่นี่แม่บุญถูกน็อคเพราะชอบชิม แต่ชิมไม่ได้ไม่รับประกันว่าจะท้องเสียหรือไม่ เก็บไว้ชิมที่บ้านเราก็แล้วกัน

เราเดินกันหลายกิโลเมตรทีเดียว เลี้ยวเข้าซอยเล็กซอยน้อย ตึกรามบ้านช่องไม่ได้สวยงาม แต่กลับเก่าซอมซ่อ ตึกสวย ๆ ที่เมื่อก่อนอังกฤษเคยมาสร้างไว้เมื่อครั้งตกเป็นเมืองขึ้นของเขาถูกทิ้งให้รกร้าง เก่าแบบไม่คิดจะอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างสวยงามไว้เลย ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ตึกสูง ๆ ที่เห็นหากเป็นบ้านเรือนก็อย่าหวังว่าจะมีลิฟต์ให้ขึ้นลงสบาย ๆ เดินจ้า เดินและเดิน มิน่าถึงไม่ค่อยเห็นคนอ้วน ได้ออกกำลังกันทุกวันแบบนี้เอง หมู เห็ด เป็ด ไก่ ก็หากินยาก อีกอย่างที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในตอนกลางวัน เป็้นการประหยัดที่น่ากลัวไม่น้อย เพราะอาหารการกินที่ต้องเก็บในตู้เย็นก็บูด เน่าหมด นอกจากร้านที่มีกะตังค์หน่อยก็จะมีเครื่องทำไฟฟ้าหน้าบ้าน ๆ ใครรวยก็ซื้อครื่องใหญ่ สร้างความลำบากในการเดินถนนชมเมืองเพราะต้องคอยเดินหลบเครื่องปั่นไฟตลอดทาง


ส่วนโรงแรมใหญ่ ๆ มีเครื่องปั่นไฟเองเหมือนกันแต่ทำหลบไว้ด้านหลัง ด้านหน้ามีเจ้าหน้าทียืนคอยดูแลความปลอดภัยหน้าตาไม่ยิ้ม ของกินเล่นมีขายตลอดทางเดิน หมาก..ที่ชาวพม่าชอบเคี้ยวกันหยุบหยับมีขายเป็นแผงเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตามหัวมุมถนน บางทีก็วางเรียงซ้อนเสียสวยงาม กับเครื่องเคราต่าง ๆ ใครจะซื้อก็หยิบไป จ่ายเงินแล้วเเคี้ยวได้เลย เห็นแล้วก็อยากลอง แต่ไม่เอาดีกว่า...ลำบากจริงกับการชอบกินเนี่ย..

เดินจาก Bogyoke market เดินไปเดินมาจนถึง Sule Pagoda เล็งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าจะเข้าไปดูพอดีเห็นเขาเก็บค่าผ่านประตู เลยไม่เข้าก็เล่นเขียนไว้ว่าไม่เก็บค่าดู แต่ถือขันรับบริจาคแบบไม่ให้ก็ไม่ได้ เดินไปจนเจอทางเข้าที่ไม่มีคนเฝ้าเลยเดินชมเสียรอบสบายใจไทยแลนด์ ขาลงดันลงทางที่เขารออยู่ งานนี้เลยต้องจ่ายแบบไม่เต็มใจ นึกว่ารอดแล้วเชียว...

มิเชลยืนยิ้มแป้นแล้นรออยู่ข้างนอกเพราะขี้เกียจถอดรองเท้า อ้อ..นึกออกแล้วเขาบอกว่าเป็นค่าดูแลรองเท้า พอเราบอกว่าเราถือเองดูแลเองได้เขาก็บอกว่าเป็นการทำบุญ...ว่ากันไปไม่รู้ทำบุญให้ใคร ??

เดินออกจากที่่นั่นตั้งท่าเดินไปท่าน้ำเพราะอยากดูพระอาทิตย์ตกน้ำ เดินได้ครึ่งทางก็มีชายใจดีมาถามแลกเงิน พอได้ยินอัตราแลกเปลี่ยนแทบจะเขย่าตัวถามว่าจริงหรือ เพราะเธอเล่นให้มากกว่าเดิมคือ ๑ ดอลล่าร์ แลกได้ ๑๒๐๐ จ๊าต น่าเสียดาย..สองเฒ่าคิดว่าเจ๋งแล้วเลยแลกเสียแทบหมดตัว ..ฮ่า.ฮ่า..ใครจะไปเที่ยวเก็บไว้เป็นข้อคิด อย่าแลกเงินหมดในครั้งเดียวเป็นอันขาด ไม่ต้องแลกเงินดอลล่าร์ให้เสียเวลา เงินไทยแบงค์พันแลกได้ไม่น้อยไปกว่าดอลล่าร์ นอกจากบ้านนอกจริง ๆ เขาไม่เอาเงินตระกูลอื่นใดนอกจากเงินจ๊าตจ้า

เย็นนั้นเราสองคนนั่งดูพระอาทิตย์ตกน้ำที่ท่าน้ำ อยากไปท่าเรือที่มีคนขึ้นลงมากมายแต่เขาไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าแฮะ ..ไม่รู้ทำไม เจอผู้ชายคนหนึ่งเขานั่งอยู่ก่อนกับแฟน เลยได้คุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ได้ความมาว่าเมล์ต่าง ๆ ที่จะส่งเข้าหรือส่งออกจากพม่า รัฐบาลเขาควบคุมหมด เพราะไม่อยากให้เอาเรื่องราวในประเทศไปพูด ส่งรูปอะไรไปให้ใครพวกเขาก็ไม่ได้รับหรอกเพราะเป็นการมอมเมา ฉะนั้นไปพม่าไม่ต้องไปส่งเมล์ให้เสียตังค์มันล่มหมดแหละ ??? อ้อ..ไม่ต้องไปพูดเรื่องการบ้านการเมืองของเขาด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เดี๋ยวเจอดี ..

อาหารมื้อเย็นเรากินกันที่ภัตตาคารริมท่าน้ำ เป็นแบบอาหารจีนค่อยสบายใจเรื่องความสะอาดขึ้นมาหน่อย อีกอย่างพี่แกมีเครื่องปั่นไฟอันโต กับตู้เย็น น่าจะพอเชื่อใจได้ว่าเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จะไม่บูดเสียก่อนเอามาปรุง คนมากินเยอะทีเดียวรวมทั้งคนมีกะตังค์ของเขาดูจากการแต่งตัวและเฟอร์นิเจอร์ประจำตัว ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันอย่างคือ โทรศัพท์มือถือ คุยไป กินไป โก้จริง ๆ กินเสร็จเราก็เรียกแท็กซี่กลับวัง..อุ้ยไม่ใช่ กลับที่พัก นอนเอาแรงไปผจญภัยที่แท้จริงที่จะตั้งต้นในวันพรุ่งนี้กัน