28/10/53

Bagan 4

๓๐ มกราคม ๒๕๕๒

         เช้านี้แม่บุญตื่นขึ้นมาด้วยความกังวล มิเชลยังมีอาการท้องเสียแต่ไม่อาเจียนแล้ว แกบอกให้แม่บุญไปเที่ยวตามโปรแกรมที่จัดไว้ เพราะยังไงเราก็จ่ายตังค์เขาไปหมดแล้ว เสียดายที่จะต้องมานั่งเฝ้ากันอยู่โรงแรม แม่บุญบอกว่าถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน ตอนที่ไปเที่ยวมัณฑะเลย์แม่บุญยังหอบสังขารไปได้ มิเชลก็ต้องทำได้เหมือนกัน ว่าแล้วก็จับแกกินยาก่อนออกเดินทาง เรื่องอาหารเช้าแม่บุญกินคนเดียวไม่มีอะไรมาก กาแฟหนึ่งถ้วย ขนมปังทาเนย แยม สองแผ่น กล้วยหนึ่งลูก จบ มิเชลตัดไปเพราะไม่อยากท้องเสียกลางทางอีก ตกลงทริปนี้เลยไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบเพราะท้องเสียเหมือนกัน
      ไซมารับแปดโมงตรงตามที่นัดไว้ และ บอกเราว่าโทรไปหาเจ้านายเล่าเรื่องที่มิเชลท้องเสียใหเจ้านายฟัง จริง ๆ แล้วไซมีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของเราสองคนกับเจ้านายทุกวันว่า วัน ๆ พาเราสองคนตระเวณไปไหน ทำอะไรกันบ้าง พักที่ไหน เจ้านายรู้หมด ดู ๆ ไปราวกับเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศก็ไม่ปาน ต่างกันเพียงแต่ไม่มีรถนำขบวนเท่านั้นเอง

      โปรแกรมวันนี้เป็นการตระเวณดูเจดีย์สำคัญ ๆ ที่เรายังดูกันไม่ครบ และวัดที่ตั้งอยู่บนเขาอีกแห่งหนึ่ง ส่วนระหว่างทางจะแวะดูอะไรนอกเหนือจากนี้ก็แล้วแต่ไซของเรา ส่วนที่ขาดไม่ได้คือ ไปดูพระอาทิตย์ตกอีกรอบเป็นการซ่อมจากเมื่อวานเพราะมิเชลอาการไม่ดี แห่งแรกที่เราไปเยี่ยมชมคือ

เจดีย์ธรรมยาจี ( Dhamma-yan-gyi Pahto )

      เป็นเจดีย์ที่สร้างในสมัยพระเจ้านรถุ ( Narathu ) อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 1710-1713 เป็นเจดีย์ที่มีการเผาอิฐละเอียด ฝีมือประณีตแบบช่างพุกามโดยแท้ แต่สร้างไม่เสร็จเพราะกษัตริย์นรถุถูกปลงพระชนม์เสียก่อน ด้วยฝีมือพระเจ้านรสีหะ ( Naratheinkha ) ผู้เป็นพระโอรส ซึ่งขึ้นครองราชสมบัติในเวลาต่อมา


                                                               เจดีย์ธรรมจายี


เจดีย์มนูฮา

        
          สัญญลักษณ์เด่นคือ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งประดิษฐานอยู่ในซอกแคบ ๆ พระพักตร์อมยิ้ม แบบอิ่มบุญและงดงามมาก สร้างในสมัยเดียวกันกับนครวัด นครธมของกัมพูชา


                        นอกจากนั้นก็ไปเยี่ยมชมเจดีย์ ต่าง ๆ เช่น Kubyaukkyi Temple ( Myinkaba ), Gawdawpalin temple, Shergugyi temple, That Byin Nyu temple ต้องขอโทษที่ไม่ได้ค้นประวัติของทุก ๆ เจดีย์มาให้ได้อ่านกัน เพราะกลัวจะเป็นเขียนเรื่องประวัติศาสตร์เกินไป เดี๋ยวเบื่อกันก่อน เที่ยวสบาย ๆ สไตล์แม่บุญนี่แหละ ใครอยากรู้มากกว่านี้เปิดอินเทอร์เน็ตอ่านเอาเองก็แล้วกันเนาะ

                                                                   Sulamani Temple                                         

        ระหว่างทางเจอขบวนบวชนาค มีรถเครื่องเสียง พร้อมลำโพงเปิดเพลงดังสนั่นไปทั้งถนน จะไม่ลงไปดูก็จะกระไรอยู่ เลยลงไปยืนดูเหตุการณ์ว่าเขาทำกันยังไงอยู่สักพัก ไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องก็เลยพากันนั่งรถต่อ ไปวัดบนภูเขา ระหว่างทางมีสถานที่ให้ชมวิธีการทำเหล้าสาโท..เหล้าขาว จากลูกตาล มีการสาธิตการขึ้นไปเก็บลูกตาลลงมา แล้วนำเอาน้ำข้างในมาต้ม ไอน้ำที่กลั่นออกมาไหลไปตามท่อที่ต่อลงปากขวดไว้รองรับ น้ำสีขาวสดใสเหมือนตาตั๊กแตนนั่นแหละดีกรีร้อนแรงนักแล คงจะคล้าย ๆ เหล้าขาวบ้านเรานั่นแหละ งานนี้มีให้ชิมและขาย แต่เราสองคนไม่อยากน็อคกลางทางเลยขอดูเฉย ๆ


                                                   สาธิตการทำเหล้าขาวจ้า

       ใกล้ ๆ กันมีแม่ลูกกำลังนั่งกันอยู่  ระหว่างขาสองข้างมีลูกชายตัวน้อยนั่งฉี่และอึอยู่อย่างสบายใจ มิเชลชอบใจในวิธีการง่าย ๆ เลยขอถ่ายรูปไว้บอกว่าจะเอามาให้ลูกสาวดู ของธรรมดา ๆ บ้านเราฝรั่งเขาเห็นเป็นของแปลก เพราะที่บ้านเขาไม่ทำกัน ก็มันคนละภูมิอากาศจะให้มาล่อนจ้อนแก้ผ้าฉี่ อึ แบบเราคงเย็นตูดแย่ไปเลย
 
                                           ปล่อยทุกข์แบบมีความสุขของหนูน้อย

        ยังมีการทำน้ำมันจากถั่วแดงเมล็ดใหญ่มาก วิธีการก็คือเอาถั่วใส่ในหลุมที่ทำจากไม้ แล้วผูกวัวให้หมุนไม้ที่ใช้บดถั่วเป็นวงกลม บดไปบดมาก็จะได้น้ำมันถั่วไหลออกมาใส่หม้อที่ตั้งรองรับไว้ด้านล่าง วิธีการง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องมีอุปกรณ์มากมาย มีวัวตัวเดียวทำได้สารพัดอย่าง ทั้งไถนา ขนข้าว เป็นพาหนะ ฯลฯ ประโยชน์อเนกอนันต์จริง 
                                                     สาธิตการทำน้ำมันจากถั่วแดง
 
           ระหว่างทางมิเชลยังคงมีอาการท้องเสียเป็นระยะ ๆ ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิดเลย หลังอาหารกลางวันที่มีเพียงแม่บุญกับไซ กินก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่ใส่เนื้อสัตว์อีกตามเคย สงสารมิเชลจนต้องขอต่อลองกับเจ้าของบริษัททัวร์ แม่บุญให้ไซต่อโทรศัพท์ให้และขอร้องให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบินขากลับไปย่างกุ้งให้มิเชล ส่วนของแม่บุญนั้นจะซื้อเอง เพราะหากให้แกนั่งรถไปอีกสองวันกลัวว่าอาการจะหนักกว่านี้ มดหมอก็ไม่มีให้พออาศัยได้เพราะอยู่ไกล เกิดเคราะห์หามยามร้ายแกเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ งานนี้เจ้าของบริษัทเริ่มคิดมาก ขอคิดก่อนแล้วจะตอบกลับอีกที แม่บุญก็เข้าใจสถานการณ์ แต่เงินที่เราจ่ายไปหากหักมาซื้อตั๋วให้มิเชลเขาก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรมากมาย แถมประหยัดค่าโรงแรม ค่าจิปาถะอีกสองวัน แม่บุญต้องพูดสัมทับให้เขาคิดทบทวนดู

25/10/53

เที่ยวพม่ากับแม่บุญ: Bagan 3

เที่ยวพม่ากับแม่บุญ: Bagan 3

Bagan 3

          ระหว่างทางนั่งรถกลับได้เห็นเจดีย์ที่มากมายก่ายกอง สมกับที่ว่าเป็นทะเลเจดีย์จริง ๆ ว่ากันว่าเมื่อก่อนมีมากมายถึง เจ็ดพันกว่าเจดีย์แตู่ถกทำลายลงไปเรื่อย ๆ จนเหลืออยู่ไม่กี่พันในปัจจุบัน น่าเสียดายแทนจริง ๆ ประวัติศาสตร์คือความภูมิใจของคนในชาติ เป็นสิ่งเตือนใจให้เราเห็นถึงอดีต ความยากลำบากของบรรพบุรุษที่ได้ก่อสร้างบ้านเมืองมา หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราคงไม่มีวันนี้แน่นอน บ้านเมืองเราเองก็เริ่มเห็นความสำคัญของสิ่งเก่า ๆ และได้เริ่มมีการอนุรักษ์กันอย่างจริงจังมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว


                                                         ทะเลเจดีย์ที่พุกาม                                                                       

          กลับมาถึงโรงแรมมิเชลยังคงนอนอยู่บนเตียงแต่ไม่ได้หลับ ถามได้ความว่าดีขึ้น ตัวไม่ร้อนเพราะกินยา แต่ยังถ่ายอยู่บ้าง แม่บุญเล่าเรื่องที่ไปดูเจดีย์มา และบอกว่าเย็นนี้นัดกับไซว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่เจดีย์แห่งใดแห่งหนึ่งเพราะเป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวที่นี่ที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนตั้งตารอ แม่บุญเองก็อยากไป แต่อยากให้มิเชลไปด้วย ตกลงแกรับปากว่าจะไปดูด้วยกัน อย่างนี้สิถึงจะเรียกเลือดสุพรรณ ไปไหนไปด้วยกัน...
 
           สี่โมงครึ่งเดินออกมาขึ้นรถ ผ่านรีเชฟชั่นพอดีเห็นผู้หญิงสองชาวต่างชาติคนคุยกันเรื่องจะไปดูพระอาทิตย์ตกและต้องการเช่ารถ ๆเรานั่งได้อีก อย่ากระนั้นเลยเรียกเขาไปดูด้วยกันดีกว่า มิเชลเห็นด้วยไม่ว่าอะไรแม่บุญเลยเอ่ยปากชวน ซึ่งเขารีบรับอย่างดีใจ ถามได้ความว่ามาจากอเมริกา คนหนึ่งท้วม อีกคนอ้วน คนอ้วนเป็นนักร้องโอเปร่า จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว ว่าแล้วคณะเราก็ออกเดินทาง มิเชลไม่ค่อยพูดมากเหมือนเคยคงเพราะกลัวท้องเสียเหมือนแม่บุญที่กังวลเวลาไปเที่ยว เมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นแหละ ใครจะไม่กลัวเพราะห้องน้ำสะอาดหายากเหลือเกิน

       แม้ว่าจะมีเจดีย์มากมายก่ายกอง แต่จุดที่จะชมพระอาทิตย์ตกนั้นต้องเลือกไปดูที่ ๆ จะสามารถมองเห็นทะเลเจดีย์ในมุมกว้างให้ได้มากที่สุด และมุมของพระอาทิตย์ที่จะตกอีกด้วย ไม่ใช่อยากไปดูที่ไหนก็ไป อันนี้ถ้าไกด์ที่ไปมาบ่อย ๆ จะรู้จักที่สวย ๆ เป็นอย่างดี แม้แต่ไซ ไกด์ของเรายังไม่ค่อยรู้มากเท่าไกด์อาชีพที่เขาพาแขกมาประจำ โชคดีที่คุยกัน ถามกันไปถามกันมาเลยได้รู้จุดที่ต้องไปดูที่ดีที่สุด



                                                           สวยเกินจะบรรยาย

ห่างจากเจดีย์อนันดาข้ามฝั่งมาด้านตรงกันข้าม มีเจดีย์ใหญ่ที่ไม่มีชื่อในแผนที่ แถมชื่อภาษาพม่าจำยาก ไกด์ที่ว่าเขียนชื่อเจดีย์ให้ชื่อ Bu lai Thi เมื่อคณะเราไปถึงปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวมากมายปีนขึ้นไปรอก่อนหน้านี้แล้วหลายสิบคน ห้าโมงกว่า ๆ ที่พากันปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเจดีย์ เดินหามุมเหมาะ ๆ นั่งรอพระอาทิตย์ตก ถัดไปยังมีชาวพม่าหนุ่มแน่นมาวางขายงานศิลปภาพเขียนที่เขาหรือคนอื่นวาดสีสันสวยงาม งานนี้ลดแล้วลดอีกแต่ก็ยังไม่มีใครสนใจ ทุกคนต่างตั้งหน้ารอคอยดูภาพสวย ๆ จากของจริง พร้อมกล้องสารพัดยี่ห้อในมือทั้งแบบใหญ่โตซูมกันได้หลาย ๆ เมตร หรือจะกล้องจิ๋วอัตโนมัติ ต่างเดินหามุมกันวุ่นวาย



                                                            ใครจะยอมพลาดภาพงาม ๆ แบบนี้

ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง พระอาทิตย์ดวงเดียวของทุก ๆ คน ค่อย ๆ หย่อนกายลงในซอกในมุมของทะเลเจดีย์ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แสงสีแดงบ้าง ส้มบ้าง เหลืองบ้าง สาดส่องกระทบกับยอดเจดีย์ทำให้ภาพมีมิติ งดงามเกินกว่าจะหาคำบรรยายใด ๆ มากล่าวให้เห็นภาพอย่างที่ตาของเราเห็นในตอนนั้น นี่เองที่เป็นจุดขาย จุดเด่นของการมาเที่ยวบากาน ใครไม่มาปีนเจดีย์นั่งรอดูพระอาทิตย์ลับฟ้าบนยอดทะเลเจดีย์ แทบจะเรียกว่าเสียทีที่ได้มาพม่าเลยทีเดียว อาจจะต้องถึงกับตีตั๋วกลับไปกดซัตเตอร์ภาพงาม ๆ อีกครั้งถึงจะเรียกว่ามาถึงพม่า 

                           ประทับใจกับภาพพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด
 
                                                     ภาพเก็บตก..หามุมเหมาะ ๆนะจ๊ะ  
           กำลังเมามันกับการหามุมถ่ายภาพ ไซ..มาเรียกอยู่ข้าง ๆ แม่บุญ ๆ ๆ ไปดูสามีเธอหน่อย ฉันว่าเขามีอาการแย่มาก เขาอาเจียนอีกแล้ว และปวดท้องมาก เรากลับกันเถอะ ได้ยินแค่นี้แม่บุญก็รีบวิ่งตามก้นไซไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งภาพงดงามทั้งหมดไว้ข้างหลัง เอาน่ามิเชลสำคัญกว่าพระอาทิตย์ตกแหละ ถ้าแกหายเดี๋ยวพามาปีนดูกันใหม่ได้ แต่ถ้าแกเป็นอะไรไป..ไม่อยากคิด
 
      พอดีกับที่สาวอเมริกันเดินสวนทางมา แม่บุญเลยรีบอธิบายให้เธอทั้งสองฟังว่าเราต้องกลับกันแล้วเพราะมิเชลอาการไม่ดี แม่บุญวิ่งมาถึงรถเห็นมิเชลนั่งหน้าซีดเป็นปลาต้มอยู่เบาะหน้า แต่แกใจแข็ง ปากแข็ง ว่าไม่เป็นไร คณะเราขึ้นรถได้ ไซก็ใส่เกียร์เร่งความเร็วทิ้งฝุ่นตลบไว้ข้างหลัง รถม้าที่วิ่งรับคนมาเที่ยวคงฉุนน่าดู วิ่งมาถึงกลางทางมองออกไปนอกรถ สีแดงเจิดจ้าของพระอาทิตย์อัสดง ทาทาบลงด้านหลังเจดีย์ทำให้เกิดสีดำ แดง ตัดกับสีของท้องฟ้า อดไม่ไหวต้องขอหยุดถ่ายสักรูปหน่อยนะมิเชล อย่าพึ่งปล่อยอะไรออกมาตอนนี้เลย สองสาวอเมริกันเองก็ร้องวี้ดว้ายในความสวยของท้องฟ้าและภาพข้างหน้า  วิ่งลงรถทำเวลาถ่ายรูปแบบไม่ต้องเล็งให้เสียเวลาเพราะภาพข้างหน้าสวยแล้ว
 
                        ธรรมชาติช่างสร้างสรรค์ภาพสวยงามเหล่านี้
 
      และแล้วเราก็กลับมาถึงโรงแรม มิเชลไม่รออะไรอีกวิ่งไปอาเจียน พร้อมเข้าห้องน้ำ เดินออกมาหน้าซีดเผือด แม่บุญทำอะไรไม่ถูก สองสาวรีบวิ่งไปหายามาให้ จับมิเชลกรอกยาเสร็จก็จับให้แกนอน และคงหลับไปเพราะความเพลีย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน แม่บุญให้ไซไปหาน้ำสไบร์ทมาให้กินแก้เพลียแทนน้ำเกลือ นั่งรอดูอาการสักพักใหญ่ แม่บุญกับสองสาวเลยเดินออกไปหาข้าวกิน จะกินอะไรได้นอกจากก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่ใส่เนื้อใด ๆ เพราะเห็นอาการของมิเชลแล้ว ทั้งยังที่ตัวเองท้องเสียก่อนหน้านี้ เล่นเอาเข็ดหลาบกับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ทีเดียว แม่บุญกินเสร็จก็ขอตัวกลับเพราะห่วงมิเชล สองสาวก็กลับด้วย

     มาถึงโรงแรมมิเชลยังคงนอนไม่ไหวติ่ง สาธุ..หลวงพ่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เราได้ไปกราบไหว้มาตั้งแต่เริ่มการเดินทางขอให้ช่วยดลบันดาลให้มิเชลหายจากอาการป่วยนี้ด้วยเทอญ..แม่บุญนึกอะไรไม่ออกก็ไหว้พระก่อนนอน คิดอยู่ในใจว่าตัวเองเป็นซะยังจะดีกว่าที่มิเชลเป็น เพราะแกอายุมากแล้ว ความต้านทานคงน้อยกว่าแม่บุญ อย่าให้แกเป็นอะไรมากกว่านี้เลย แล้วก็นอนลงข้าง ๆ แก จับมือแกไว้ให้กำลังใจถ่ายทอดไปให้แกได้รับรู้.. พรุ่งนี้ค่อยดูกันอีกที