13/11/53

ชมโรงงานทำเครื่องเขินที่บากาน

๓๑ มกราคม ๒๕๕๒

        เช้านี้เรามีโปรแกรมส่งท้ายลาบากานด้วยการไปชมโรงงานผลิตเครื่องเขินอันขึ้นชื่อของที่นี่ ไซมารับไปที่โรงงานนอกเมืองห่างออกไปราวหนึ่งชั่วโมง มิเชลยังคงท้องเสียอยู่บ้างแม้จะน้อยลง ไซบอกข่าวดีให้เราว่าเจ้านายตกลงใจยอมซื้อตั๋วเครื่องบินกลับย่างกุ้งให้มิเชล ส่วนแม่บุญก็ตามที่คุยกันไว้คือซื้อเอง ตกลงเราก็ได้ทุ่นเวลาที่จะต้องระหกระเหินบนรถไปสองวันหนึ่งคืน และต้องนั่งรถทั้งวันย้อนไปทางเดิมที่มา..สนุกเสียที่ไหนกัน ?? แม่บุญดีใจจนบอกไม่ถูก คิดว่าพระพม่าท่านคงเข้าใจที่แม่บุญขอเลยช่วยให้เราได้กลับเร็วขึ้น ดีใจที่หากมีอะไรมากกว่านี้อย่างน้อย ที่ย่างกุ้งก็มีโรงพยาบาลที่ดีกว่าที่นี่แน่นอน

             เราไปดูโรงงานเล็ก ๆ ทำเครื่องเขินกันแบบในครัวเรือน มีคนงานทำงานอยู่ร่วมสามสิบกว่าคน แต่ละคนกำลังขมักเขม้นทำงานของตัวเอง ช่างที่ลงเขียนรูปนั่งตาแทบจะติดกับภาชนะที่วาด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำงานได้ยังไงกับแสงที่มีเพียงเล็กน้อย ไฟฟ้าก็ไม่มี สายตาคงเสียกันแน่ ๆ ก่อนแก่ งานที่ทำมีออเดอร์จากอเมริกาก็มี พวกนักสะสมของเก่าก็มี แม่บุญเองเดินดูรอบ ๆ ชอบใจพวกของเก่าที่ใช้แล้ว แต่ราคาของแต่ละชิ้นทำให้กลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง ที่ทำได้ซื้อได้ก็เพียงซื้อถ้วยสำหรับใส่น้ำชา ที่ทำจากหางม้าเอามาทากาววนรอบ ๆ ถ้วยที่ทำจากไม้ไผ่ที่ถูกเหลาจนบางเฉียบ หลังจากนั้นก็ลงครั่งให้ติดนาน ตากแดด เอามาขัด ลงสี ..ยิ่งมีสีมาก ก็ยิ่งทำงานมากขึ้นอีกหลายขั้นตอนเพราะต้องรอให้สีแรกที่ลงแห้งก่อน รู้อย่างนี้แล้ว ถ้วยที่ซื้อราคาใบละหนึ่งดอลล่าห์ไม่แพงเลยสำหรับแม่บุญ เราดูอยู่ได้เกือบชั่วโมงก็พากันกลับ เพราะมิเชลปวดท้องอีกแล้ว

        มิเชลขอกลับไปนอนที่โรงแรม ปล่อยให้ไซพาแม่บุญตระเวณดูรอบ ๆ เมืองบากานทั้งเก่าและใหม่ ขากลับเห็นคนขึ้นบอลลูนที่อยู่สูงขึ้นไปไม่มาก เข้าใจว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ยอมเสียเงินแพงเพื่อดูวิวเมืองบากานในมุมสูง หวังว่าคงจะได้ภาพสวย ๆ นะ



         สองสาวอเมริกันนั่งรถม้าผ่านไป เขาไม่ทันเห็นแม่บุญกับไซที่นั่งรถสวนทางมา นี่แหละชีวิตนักเดินทาง พบกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์กัน แล้วก็จากกัน อาจจะมีบ้างที่ยังคบหาติดต่อกันอยู่ แต่จากประสบการณ์ของเราสองคนพอจากกันแล้ว ก็ต่างคนต่างไปไม่ค่อยได้ติดต่อกันอีก คงเพราะต่างมีภาระหน้าที่ของตนเองนั่นเอง


                                          หญิง ชายพม่าในพิธีแต่งงาน

          กลับมาถึงโรงแรมประมาณห้าโมงเย็น เห็นมิเชลยืนถ่ายรูป ชาวพม่าหญิง ชาย ที่กำลังทำพิธีแต่งงาน มิน่าเมื่อวานถึงเห็นเขาตกแต่งห้องอาหารเสียสวยงาม ดีใจที่มิเชลลุกออกมาได้ แสดงว่าคงดีขึ้นบ้างแล้ว ตอนเย็นเราสองคนดินหาข้าวกินแถว ๆ โรงแรม มิเชลขอกินซุปใส ๆ ใส่ผักนิดหน่อย ไม่แตะเนื้อสัตว์ใดๆ แม่บุญก็เช่นกัน พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราจะได้กลับย่างกุ้ง และหลังจากนั้นอีกสองวันการเดินทางเที่ยวพม่าของเราสองคนก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์

๑ กุมพาพันธ์ ๒๕๕๒

       มิเชลตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ดีกว่าเดิม อาการถ่ายน้อยลงจนเกือบปกติ แต่ก็ยังไม่วางใจในอาหารจานใด ๆ ที่มีเนื้อสัตว์ หลังอาหารเช้าที่มีเพียงกาแฟ กับขนมปังปิ้งคนละสองแผ่น เราก็ขึ้นรถไปที่สนามบินบากาน ไซ..แซวเราสองคนว่าทิ้งเขาได้อย่างไร จริง ๆ แล้วเราต้องร่วมทางกันกลับไปนอนที่ตองอูก่อนหนึ่งคืน แล้วเดินทางกันอีกหนึ่งวันจนถึงย่างกุ้ง มิเชลกับแม่บุญอดหัวเราะไม่ได้

       ระยะเวลาสิบกว่าวันที่ระหกระเหินไปในที่ต่าง ๆ ด้วยกัน แยกกันเฉพาะตอนนอนเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะต้องก่อเกิดความผูกพันต่อกัน เราพูดคุยกันเรื่องของชีวิตของแต่ละคน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน สงสารไซ..ที่เลือกเกิดไม่ได้ แม่บุญบอกเขาว่า แต่เราก็เลือกที่จะดำเนินชีวิตเราได้ ไซบอกว่า..ใช่ที่ประเทศของเธอ แต่ไม่ใช่ที่นี่..โธ่เอ่ยชีวิต จะให้ช่วยได้อย่างไร  ไซ..ขับรถจากไปหลังจากมาแวะส่งเราสองคนที่สนามบินบากาน คงเหงาแย่เลย ขับรถอีกวันกับคืนกว่าจะถึงย่างกุ้ง แล้วพบกันนะไซ ที ห้า ขอให้โชคดี

         เรามองสนามบินที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนสนามบิน เหมือนโรงเก็บเครื่องบินมากกว่า ตอนที่เราไปถึงยังไม่มีผู้โดยสารมากนัก มีเพียงเด็กสาวผมยาวจนถึงตาตุ่มมาเปิดร้านขายของที่ระลึกที่จำพวกเครื่องเขิน

         เครื่องบินมาตรงเวลาใช้ได้แฮะ ดูแล้วไม่ต่างจากสายการบินลาวที่เราเคยใช้บริการครั้งหนึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา บนเครื่องบินมีบริการเพียงเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าเราทั้งคู่ก็มาถึงสนามบินกรุงร่างกุ้ง เท็กซี่จากบริษัททัวร์ถูกส่งมารอรับตั้งแต่สาย ๆ และตรงดิ่งไปที่โรงแรมที่เราจะเข้าพักสองคืนสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย


ใจกลางเมืองร่างกุ้งจากมุมสูง

     โรงแรมเซ็นทรัล..ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ราคาที่พักคืนละ ๒๕ ดอลล่าร์ ทำให้เกิดความสะดวกสบายกว่าพักเกสต์เฮ้าส์ในคืนแรกอย่างลิบลับ ผู้จัดการบริษัททัวร์เข้ามาต้อนรับอย่างใจดี เขามีเคาร์เตอร์ทัวร์ที่นี่ด้วยเพื่อติดต่อกับนักท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก ก็ที่นี่แหละที่เรามาติดต่อทัวร์ในวันที่สองที่มาถึง เขาถามเราเรื่องความสะดวกสบายที่ได้รับตลอดการเดินทาง และขอให้เขียนคอมเม้นท์ลงในสมุดเพื่อให้นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่จะมาใช้บริการได้เกิดความมั่นใจในบริการของบริษัท หลังจากนั้นเราสองคนก็ขอตัวแยกไปพักผ่อน

 กรุงร่างกุ้ง


      แม่บุญอยากเดินไปเที่ยวตลาดเพราะอยากดูว่าจะสามารถซื้ออะไรติดไม้ติดมือเป็นของที่ระลึกจากพม่าได้บ้าง มิเชลนักเดินทางผู้ทรหดขอไปเดินด้วย หน้าที่ดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมากทำให้คลายความกังวลไปได้เยอะทีเดียว เราสองคนเดินดูตลาด แวะเข้าซอกซอยต่าง ๆ ดูชีวิตของชาวพม่าที่อยู่ กินกันอย่างไม่มีปากมีเสียงใด ๆ กับการปกครองของรัฐบาลทหาร ..

7/11/53

Bagan 5

            เราเดินทางกันต่อโดยมีการหยุดเข้าห้องน้ำเป็นระยะ ๆ ไซเองก็ดูกังวลมากกว่าที่ตอนแม่บุญเป็นเสียอีก อาจจะเป็นเพราะแม่บุญเป็นคนเอเชีย ภูมิต้านทานมันผิดกันกับของฝรั่ง เรียกว่าอึดกว่าเยอะทีเดียวไซเลยดูจะไม่ห่วงเท่าไหร่ มิเชลนั่งหลับคอตกไปหลายครั้งเพราะความเพลีย เล่นวิ่งเข้าห้องน้ำทั้งคืน จะไม่เหนื่อยก็คงกระไรอยู่ แม่บุญนี่จับสามีมาทรมานจริง ๆ ในที่สุดเราก็มาถึงวัดบนยอดเขา งานนี้แม่บุญฉายเดี๋ยว ไซคอยดูแลมิเชลอยู่ข้างล่าง แม่บุญเดินขึ้นบันไดจนหอบเพราะสูงเหลือเกิน บันไดมากมายหลายร้อยขั้นเหมือนจะท้าทายถึงความศรัทธาของคนพม่าที่มีต่อสิ่งศักดิ์


สิทธิ์ที่พวกเขานับถือ ว่าจะดั้นด้นขึ้นมาถึงยอดเขาเพื่อสักการะได้หรือเปล่า แม่บุญดีใจที่ไม่หมดแรงก๋วยเตี๋ยวน้ำกลางทางเสียก่อน เดินบ้างพักบ้างจนถึงยอดเขา มีเด็กผู้หญิงสองคนเข้ามาดูรูปที่แม่บุญถ่าย ยกนิ้วโป้งให้ว่าสวย แม่บุญเลยขอถ่ายรูปเขาสองคนเลยได้ยิ้มกันใหญ่ เขาคงเห็นแม่บุญมาคนเดียวเลยอยากช่วยอธิบาย แต่ภาษาไทยกับพม่ามันยังไม่มาบรรจบกันเหมือนแม่น้ำโขง เลยได้แต่ใช้ภาษาใบ้ ภาษามือช่วยกันจนเหนื่อย ลมเย็นที่พัดมาอ่อน ๆ ช่วยให้สดชื่นขึ้นอย่างมากมาย


                                                วัดบนภูเขาสูงเสียดฟ้า

                                             เด็กสาวพม่าผู้มีน้ำใจทั้งคู่

                        แม่บุญเดินกลับทางเดิม พึ่งเห็นว่าบันไดมันชันจริง ๆ ตอนขึ้นมัวแต่เหนื่อยเลยไม่ทันสังเกตุ จำไม่ได้ว่ากว่าจะขึ้นไปถึงปีนกระไดไปกี่ร้อยขั้น ที่แน่ ๆ มากกว่าดอยสุเทพบ้านเราแน่นอน ลงมาข้างล่างมิเชลนั่งรออยู่ใต้ร่มไม้ หน้าตาไม่ดี เลยรีบพากันขึ้นรถกลับ ถามแกว่าจะยังไปดูพระอาทิตย์ตกไหวหรือ แกพยักหน้ารับ เราเลยไปนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกอีกรอบ คราวนี้เปลี่ยนที่ใหม่ เจอชายชาวไทยสามคนมาเที่ยวเลยได้พูดคุยกัน ค่ำนั้นพวกเขาเชิญเราไปกินอาหารที่โรงแรมที่พวกเขาพักเพราะมีรายการพิเศษมีการชักหุ่นเล่นละครแบบพม่าด้วย ไปก็ไปแต่มิเชลไม่กล้ากินอะไรเลยนอกจากข้าวเปล่าและน้ำเปล่า


เรากลับมาที่โรงแรมโดยยังไม่มีคำตอบว่าเจ้าของบริษัททัวร์เขาจะว่ายังไง ??






                                                 อีกมุมมองพระอาทิตย์ตกที่บากาน