19/6/53

ทะเลสาบอินเล ..สวรรค์บนพื้นน้ำ ต่อ ..2



ตลอดคุ้งน้ำเราเห็นชาวประมงที่ออกหาปลาด้วยเรือเล็ก มีสุ่มใหญ่วางอยู่ข้าง ๆ สองเท้าก็กวาดไม้พลายพร้อมสายตาที่สอดส่ายหาปลาในน้ำ ช่างเป็นภาพที่สวยงามเหนือคำบรรยายใด ๆ ทั้งปวง เราสองคนถ่ายรูปกันแบบไม่นับเพื่อเก็บภาพที่สวยที่สุดนี้ไว้ อากาศบริสุทธิ์ เย็นสบายด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าจัดไร้เมฆหมอกใด ๆ มาบดบัง หรือสวรรค์จะเป็นแบบนี้หนอ ช่างสุขสงบ เสียจริง ๆ



ชาวประมงที่ทะเลสาบอินเล กำลังออกเรือหาปลา





ชีวิตชาวอินทาริมแม่น้ำ




                                                                  เหมือนบ้านเราเลย


เรือวิ่งมาได้สักเกือบชั่วโมงก็มาจอดแวะที่ วัดปองดออู Poung Doo Ou ถือเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ ๑ใน ๕ สถานที่สำคัญของพม่าที่ต้องไปให้ได้ของพม่าคือ พระธาตุอินทร์แขวน เจดีย์มุตา เจดีย์ชเวดากอง พระมหามุนี และวัดปองดออู ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปอง
ดออู ๕ องค์ จำหลักขึ้นจากไม้จันทน์หอมอายุเกือบพันปี เริ่มต้นที่หน้าตัก ๕ ซ.ม เท่านั้นเอง ปีแล้วปีเล่าที่มีคนไปกราบนมัสการปิดแผ่นทองพอกองค์พระจนมีขนาดใหญ่เท่าในปัจจุบัน และมีลักษณะกลายเป็นรูปกลม ๆ เท่านั้น ชาวพม่าเรียกพระพุทธรูปนี้ว่า
ปองดออู หมายถึง พระพุทธรูปที่ประดิษฐานบนเรือสำเภาทองเป็นองค์แรก แต่คนไทยเรียก พระบัวเข็ม ไซบอกว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย



                             พระพุทธรูปที่วัดปองดออู เริ่มจากหน้าตัก ๕ ซ.ม จนใหญ่เท่านี้
 
 

มิเชลไม่ได้ขึ้นมาไหว้พระกับแม่บุญ จะถือสาอะไรกับต่างชาติที่นับถือศาสนาอื่น อีกทั้งเธอยังเดินด้วยเท้าเปล่านาน ๆ ไม่ได้เพราะผ่าตัดมาทำให้เจ็บข้อเท้าอีกด้วย แม่บุญตั้งจิตอธิฐานให้พระท่านคุ้มครองให้เราสองคนท่องเที่ยวในพม่าอย่างปลอดภัยทั้งไปและกลับ และขอให้เท้าของมิเชลหายจากอาการเจ็บปวดที่เป็นอยู่ตลอดอีกด้วย อีกวัดข้าง ๆ กันชื่อ วัดตาเล เป็นวัดเขตพระสงฆ์ เพราะวัดปองดออูเป็นวัดพุทธสถานจึงไม่มีพระจำวัด

จากนั้นเราก็เดินไปด้านหลังวัดและนับว่าเราสองคนโชคดีมาก ๆ เพราะวันนี้มีตลาดนัด ตลาดที่เห็นชื่อ ตลาดตองยู ที่จะมีชาวบ้านเผ่าต่าง ๆ เอาข้าวของมาขายกันอย่างละลานตาไปทั่วบริเวณวัด เราสองคนเดินอย่างช้า ๆ เก็บภาพทุกภาพที่เห็นทั้งในกล้องถ่ายรูป และในความทรงจำของเราสองคน อาหารหลาย ๆ อย่างเราไม่เคยเห็นมาก่อนก็ยืนดูนานเป็นพิเศษ ยิ่งสายคนก็ยิ่งเยอะ พืชผักหลาย ๆ อย่างเหมือนของเมืองไทย เราแวะดื่มชาพม่า ที่ไปเหมือนกับชา ฉ่าย ของอินเดียไม่มีผิด รสชาติหอมหวานจากเครื่องเทศ พร้อมนมสด อดไม่ได้ที่จะซื้อติดมือกลับมาที่เบลเยียม ราคาไม่แพงเลย มิเชลซื้อช้างตัวเล็กมาเป็นของที่ระลึก ส่วนแม่บุญซื้อตุ๊กตาที่มีเชือกใช้มือชักมาหนึ่งตัวเช่นกัน นอกจากนั้นเราก็ไม่ซื้ออะไรอีก เพราะที่บ้านเล็ก ๆ ของเราไม่มีที่พอให้ใส่ของต่าง ๆ ที่เราเห็นระหว่างเดินทางได้หมด ต้องเลือกซื้อเฉพาะที่ชอบจริง ๆ เท่านั้น



ตลาดตองยูยามเช้า




                                                             ข้าวต้มมัดเหมือนไทย
 
 
 
 
 

18/6/53

ทะเลสาบอินเล ..สวรรค์บนพื้นน้ำ ต่อ ..

๒๔ มกราคม ๒๕๕๒

ทะเลสาบอินเล วัดปองดออู Inle lake and Poung Doo Ou Temple


เราตื่นเช้ากันตามปกติ วันนี้อากาศดีไม่หนาวไม่ร้อนแต่ไซบอกให้เตรียมเสื้อกันลมไว้ เพราะเราต้องนั่งเรือไปที่ทะเลสาบที่อยู่สูง ฉะนั้นอากาศจะเย็นกว่าที่นี่แน่นอน บนห้องอาหารมีนักท่องเที่ยวไม่กี่คน อาหารที่มีเหมือนทั่ว ๆ ไป ขนมปัง แยม เนย น้ำส้ม และกล้วยผลใหญ่อีกแล้ว แม่บุญกินได้เพียงขนมปังหนึ่งแผ่นกับกาแฟ เพราะเช้า ๆ กินมากแล้วรู้สึกอยากอาเจียน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้เพราะอะไร



เราออกเดินทางตรงไปที่ทะเลสาบอินเล แต่ต้องไปลงเรือที่ท่าเรือ โอยูปิน Oo Upin Boat Stand เพื่อเดินทางไปเมือง ยองห้วย หรือ เมืองอินเล นั่นเอง อันที่จริงคำว่า อิน แปลว่า ทะเลสาบ เล แปลว่า หมู่บ้าน หรือจะเรียกว่า หมู่บ้านในทะเลสาบ คงไม่ผิด เราสองคนจ่ายค่าเหยียบแผ่นน้ำคนละ ๓ ดอลลาร์ ก่อนลงเรือมีเด็ก ๆ วิ่งมาขายของอะไรไม่รู้ในถุงพลาสติก ถามว่าอะไร พวกเขาชี้เข้าปาก แม่บุญบอกว่ากินข้าวแล้ว ไม่หิว เลยไม่ซื้อ....



                                      บรรยากาศทางไปหมู่บ้านชาวอินทายามเช้า

ตอนที่มิเชลกับไซยืนคุยกันกับชาวบ้าน แม่บุญแอบถ่ายรูปไว้ บรรยากาศยามเช้าบนสะพานที่เมื่อมองลงไปบนผิวน้ำ ยังเห็นหมอกควันลอยเหนือน้ำอย่างอ้อยอิ๋ง สวยงามเหนือคำบรรยายจริง ๆ ไม่นานเราสองคนก็ลงเรือลำแรก เพื่อไปเปลี่ยนเป็นอีกลำที่มีเพื่อนของไซมาขับเรือให้บริการ ก็ดีเขาจะได้คุยกันให้หายคิดถึง ไซบอกว่าไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทุกครั้งที่พาลูกทัวร์มาเที่ยวก็จะใช้บริการของเพื่อนตลอด ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริง ๆ



                                                 เหมือนภาคอิสานของไทยเลย



เรือที่ให้บริการนักท่องเที่ยวมีเก้าอี้ให้นั่งได้ ๕ ถึง ๖ คน พร้อมเบาะรองนั่งนุ่ม ๆ แต่หากให้บริการชาวบ้านจะจัดให้นังได้ถึง ๒๐ คนใน ๑ ลำ ไม่มีเบาะจ้าไม้กระดานแข็ง ๆ เท่านั้น เรือแล่นออกสู่ผืนน้ำกว้างใหญ่ ขนาบไปด้วยทิวเขายาวเหยียดทั้งสองฝั่งน้ำ ดูราวกับกำลังแล่นเรืออยู่ระหว่างภูเขาทีเดียว เรือมาจอดหน้าวัดพม่าแห่งหนึ่ง มีเพียงพระไม่กี่รูปที่กำลังเตรียมอาหารสำหรับฉันท์ในมื้อเช้า นอกจากนั้นก็มีเพียงแม่บุญกับมิเชลเดินถ่ายรูป บรรยากาศรอบ ๆ วัด สักพักเราก็ออกเดินทางต่อ



                                         วัดแรกที่เราแวะไหว้พระกัน จำชื่อไม่ได้แล้ว ??


                                  
เรือวิ่งออกสู่ผืนน้ำอีกครั้ง คราวนี้มีเรือนักท่องเที่ยวอีกลำวิ่งขนานมา แม่บุญเห็นคนในเรือโยนอะไรบางอย่างขึ้นไปในอากาศ สักพักก็มีนกบินมามากมายมาโฉบกินอาหารที่โปรยให้ ตะโกนถามไซ ๆ บอกว่าเขาซื้ออาหารนกมาจากเด็ก ๆ ที่วิ่งขายตรงท่าเรือนั่นไง แม่บุญจึงได้ถึงบางอ้อ ว่าเด็ก ๆ ต้องการขายอาหารนก ไม่ใช่อาหารให้คนกิน เสียดายจริง ๆ ที่ไม่ได้ซื้อมา ด้วยความเข้าใจผิด



                                            ชาวบ้านเดินทางไปที่ต่าง ๆ โดยเรือโดยสาร

17/6/53

ทะเลสาบอินเล ..สวรรค์บนพื้นน้ำ

ทะเลสาบอินเล (Inle Lake)


ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ท่ามกลางหุบเขาที่สวยงามของรัฐฉาน อยู่ห่างจากเมืองตองยีประมาณ ๒๕ กิโลเมตร มีเนื้อที่กว้างใหญ่ถึง ๑๕๘ ตารางกิโลเมตร กว้าง ๑๐ กิโลเมตร ยาว ๒๒ กิโลเมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ๘๗๘ เมตร น้ำลึกที่สุดเพียง ๕ เมตร บางแห่งตื้นเพียง ๑ ถึง ๒ เมตรเท่านั้น



                     เอกลักษณ์ของชาวประมงที่ทะเลสาบอินเล ..ไม่มีใครเหมือน





                            น้ำกับฟ้า....ไม่ห่างไกลกันเลย หรือ จะเป็นสวรรค์ของที่นี่


ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เรียกตนเองว่า ชาวอินทา (Intha) ชนเผ่านี้อาศัยอยู่ในทะเลสาบอินเลมานานนับร้อยปีแล้ว ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ ๗ หมื่นคน มีทั้งชาวไทใหญ่ ไทขืน ไทยอง ไทหย่า เข้ามาอยู่ผสมผสานกัน โดยชนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการทำการเกษตรบนเกาะวัชพืชที่พวกเขาสร้างกันขึ้นมาเองกลางลำน้ำในทะเลสาบ พืชผักที่เราเห็นเขาปลูกกันเป็นแนวสวยงามคือ มะเขือเทศ เราสองคนได้มีโอกาสลิ้มรสอร่อยของสลัดมะเขือเทศ บอกได้คำเดียวว่าอร่อยอย่างเหลือเชือ เพราะรสชาติไม่จืดชืดเหมือนมะเขือเทศที่เคยได้กินทั่ว ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่ปลูกบนน้ำและยังสามารถเลี้ยงคนพม่าได้ทั้งประเทศ ยังมี ข้าวโพด และพริก อีกด้วย



                                          หมู่บ้านชาวอินทาที่เราเห็นไกล ๆ

การทำประมง ในทะเลสาบเป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะวิธีการหาปลานั้น เรียกได้ว่าไม่มีชาวประมงที่ใดในโลกสามารถเลียนแบบได้ นี่คือหนึ่งในสถานที่มหัศจรรย์ที่ควรไปเยี่ยมเยือน เพราะชาวประมงพายเรือด้วยเท้าในท่ายืน ลักษณะการกวาดเท้านี่เองที่ไม่เหมือนใคร อธิบายไม่ถูก อยากให้ไปดูกันเอาเอง แม่บุญถ่ายเป็นวีดีโอไว้ด้วย เครื่องมือประมงคือ สุ่ม รูปกรวยยาวขนาดใหญ่ ขณะที่พายเรือด้วยเท้า สองตาคอยมองหาปลา แล้วใช้สุ่มใหญ่นี่เองครอบปลาไว้ ยังมีแหหรือฉมวกเป็นเครื่องมือหาปลาอีกอย่าง




ไร้คำบรรยายใด ๆ


เนื่องมาจากบรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายและทัศนียภาพทะเลสาบที่สวยงามมาก ทำให้มีบรรดารีสอร์ตต่างๆ ก่อสร้างขึ้นมากมายบริเวณโดยรอบ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำกับบรรยากาศที่สงบ งดงาม แบบนี้



                                                       บ้านกลางน้ำอันเงียบสงบ

13/6/53

จาก ตองอู ไป ทะเลสาบอินเล ( ต่อ )

เราเดินทางกันต่อด้วยความเหนื่อย ในที่สุดก็ผ่านสนามบินเฮโฮ ที่ตั้งอยู่บนรัฐฉาน สูง ๙๐๐ เมตรเหนือระดับน้ำทะล หากมาเครื่องบินก็ต้องมาลงที่นี่แล้วเหมารถแท็กซี่ต่อไป ราคาค่าเหมาต่อหัวคนละ ๒๕ ยูเอสดอลลาร์ รถผ่านทุ่งนากว้างไกลไปอีกเกือบชั่วโมงก็มาถึงโรงแรม ชื่อ Paradise Hotel Nyaung Shwe โรงแรมนี้เขาไม่เลวเลย มีสาขาอื่น ๆ อีก สามแห่งในแต่ละเมือง หรือจะไปนอนในทะเลสาบเลยก็ได้แต่เราเลือกนอนที่ในเมือง เพราะอยากเดินไปดูชาวบ้านเขาทำอะไรต่ออะไร มากกว่าไปไหนไม่ได้เพราะอยู่กลางน้ำ



โรงแรมที่เราพักกัน


พวกเราไปถึงประมาณ ๕ โมงเย็นแล้ว พอลงจากรถต้องปัดฝุ่นกันใหญ่ รีเชฟชั่นหญิงท่าทางแข็งแรงเพราะพอมาถึงเธอก็หิ้วกระเป๋าสัมภาระของเราสองคนอย่างง่ายดาย พร้อมบริการปัดฝุ่นอีกพักใหญ่ ห้องที่เราได้ติดกับอาคารด้านหน้าที่เป็นห้องอาหาร และรีเชฟชั่นไปด้วย แม่บุญและมิเชลขนของออกจากกระเป๋าก็กระโดดอาบน้ำก่อนเพราะเหนอะหนะมาทั้งวัน ส่วนไซของเราขอตัวไปอาบน้ำเช่นกัน เย็นนั้นเราไปหาอาหารกินกันเองในตัวเมืองไม่ไกลจากโรงแรม เป็นร้านเล็ก ๆ ข้างทาง ฟืนไฟไม่มี ๆ แต่ตะเกียงจุดไว้ โรแมนติคดี แต่มองอะไรไม่เห็นเลย จดๆ จ้อง ๆ เห็นเขาขายอะไรบางอย่างเหมือนสุกี้บ้านเรา แถมร้อน ๆ น่าจะดีต่อกระเพาะทั้งสองคน เลยจับจองที่นั่งสั่งมาชิมคนละชาม คล้ายสุกี้จริง ๆ แม่บุญขอผักเยอะ ๆ ใส่พริกเยอะ ๆ เพราะอยากกินเผ็ด ๆ บ้าง ส่วนไซเลยได้โอกาสไปชวนเพื่อนกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องมาดูแลเราสองคน กินเสร็จเดินผ่านร้านขายโรตี เอาเสียหน่อย พร้อมชาพม่าร้อน ๆ ตบท้าย ค่อยสบายท้องขึ้นมานิด



                                 รูประหว่างเดินทาง เป็นชนบทที่แท้จริงของพม่า


ก่อนเข้านอนแม่บุญอดไม่ได้ที่จะอ่านข้อมูลคร่าว ๆ ของทะลสาบอินเลที่เราจะไปชมกันพรุ่งนี้เช้า อย่างน้อยก็จะได้เก็บเป็นข้อมูลเผื่ออะไรจะขาดตกไป เราจะพักที่นี่กันสองคืนสามวัน แล้วจึงจะเดินทางต่อ มาดูข้อมูลกันหน่อยว่าเป็นยังไง

จาก ตองอู ไป ทะเลสาบอินเล

๒๓ มกราคม ๒๕๕๒

ตองอู ทะเลสาบอินเล