14/11/53

คำแนะนำเมื่อท่องเที่ยวในพม่า

คำแนะนำเมื่อท่องเที่ยวในพม่า



         วีซ่า

       เปิดดูเว็ปไซด์สถานทูตพม่าเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ แม่บุญจ่ายคนละ 25 US dollars สำหรับวีซ่านักท่องเที่ยวไม่เกิน 28 วัน เขาขอรูปถ่ายคนละ 2 รูป และจะได้เอกสารเหมือนกันสองชุด สำหรับยื่นให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน



 สกุลเงิน

         (Kyat) ใช้เงินจ๊าต เมื่อปี 2009 เงินไทยแลกได้ 1 บาท 30 จ๊าต
อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 1 ดอลล่าร์แลกได้ประมาณ 900-1100 จ๊าต แล้วแต่จะเจอวันเงินขึ้นหรือลง และแล้วแต่โชค..ถ้าดี มีคนเดินถามแลกเงินให้ราคาดี แต่ระวังอย่าแลกมาก เพราะเวลานับเดี๋ยวตาลาย และถูกโกง จะว่าไม่เตือน



   ที่พัก

         เกสต์เฮ้าส์ราคาถูก ๆ เริ่มตั้งแต่ 10 ยูเอสดอลล่าร์ บางแห่งปีนกระไดสูงไปชั้นเจ็ด เพราะไม่มีลิฟต์ ถ้ามีตังค์พอจ่าย หาโรงแรมนอนเถอะ คืนละ 20-25 us dollars เปิดหาจองตามเว็ปไซด์โรงแรมมีมากมายให้เลือก





อาหารการกิน   

ถ้าชอบกินเครื่องเทศแบบแขก ๆ งานนี้สบาย เพราะมีแต่แบบนี้เป็นส่วนมาก ส่วนภัตตาคารสำหรับนักท่องเที่ยวจะมีอาหารจีน พวกผัดผักใส่กุ้ง ไก่ แบบใส่วิญญาณมาให้ ถ้าเป็นเมืองท่องเที่ยวบางแห่งมีร้านอาหารไทยด้วย แต่แม่บุญไม่ได้กินเพราะหาไม่เจอ อย่าใฝ่ฝันถึงอาหารฝรั่งให้เปลืองตังค์ กินอาหารธรรมดาแบบของเขานั่นแหละ ระวังหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเป็นไปได้เลือกเข้าร้านอาหารที่มีเครื่องปั่นไฟใหญ่ ๆ หน้าร้าน เพราะของในตู้เย็นจะได้ไม่เสีย หรือจะพกมาม่าไปก็ไม่ว่ากัน



ค่าเครื่องบินในประเทศ ระหว่างเมืองใหญ่ ๆ ปี 2009

Yangoon to Bagan 80 usd

Bagan to Mandalay 35-37 usd

Mandalay to Heho 35-37 usd

Heho-Yangoon 80 usd




      หรือหากจะทำแบบแม่บุญก็ติดต่อทัวร์พาเที่ยวตลอดวัน เหมาทั้งรถทั้งคนขับ รวมค่าโรงแรม ถามราคากันเองก็แล้วกัน แม่บุญจ่ายไปคนละ 550 usd สิบกว่าวัน แต่มันผ่านมาเกือบสองปีแล้วราคาอาจจะเปลี่ยนแปลงได้

                               ขอให้เที่ยวพม่าให้สนุกเหมือนแม่บุญนะ เจอกันใหม่ที่ใหม่ ..

                                                                         สวัสดี

อำลา พม่า ตอนจบ

๒ กุมพาพันธ์ ๒๕๕๒
           เราตื่นกันแต่เช้า กินอาหารเช้าเสร็จก็รีบเดินไปตลาดเช้า เพราะอยากดูตามประสาคนชอบกิน จริง ๆ แล้วเราก็มาเดินกันเมื่อวานเย็น แต่ยังไม่สะใจ วันนี้ทั้งวันเลยใช้เวลาเดินๆๆๆ ดูให้ทั่วเมืองย่างกุ้ง เสียดายตึกรามบ้านช่องเก่า ๆ สมัยเมื่ออังกฤษปกครอง รัฐบาลไม่มีเงินซ่อมแซมหรือไม่อยากซ่อมเพราะไม่อยากเห็นอดีตอันขมขื่นที่ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติอื่นก็ไม่รู้ ถนนหนทางก็เดินง่ายบ้างยากบ้างแล้วแต่จะมีอะไรต้องซ่อมแซม เครื่องปั่นไฟใหญ่บ้างเล็กบ้างวางเกะกะไปทั่วทางเท้า



                                                          ตึกสวยงามที่ถูกทิ้งร้างไว้

ตึกสูงมากมายดูเก่าซอมซ่อเพราะไม่มีการดูแลรักษา สี..ไม่ต้องพูดถึง มันกระดำกระด่างเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ นั่นแหละ ไม่ยักเหมือนที่เวียดนาม ที่นั่นตึกต่าง ๆ ทาสีสันฉูดฉานเหมือนบ้านตุ๊กตา ทั้งเขียว ชมพู ส้ม เห็นแล้วนึกว่าเมืองการ์ตูนไปโน่น



                                                          ตึกสวยงามที่ขาดการบำรุงรักษา




เที่ยง..เรานั่งกินอาหารในร้านสำหรับนักท่องเที่ยวใช้เงินจ๊าตให้หมด ๆ เพราะแลกคืนก็แทบจะไม่ได้อะไร มิเชลซื้อโสร่ง หรือ ลองจี เป็นของฝากแม่บุญก็ซื้อเหมือนกัน อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ บางอย่างนำเข้ามาจากเมืองไทย ซื้อไปก็อายเขา พรุ่งนี้เที่ยงเราก็ถึงบ้านที่เมืองไทยแล้ว อยากได้อะไรค่อยไปหาซื้อเอา


อาหารริมทาง

                                                          ของกินคล้ายบ้านเรา


                                                                            เรื่องกล้วย ๆ

                                                      ชีวิตในเมืองร่างกุ้ง
              เย็นวันนั้นเราเลือกที่จะไปกินข้าวที่ภัตตาคารริมน้ำ เพื่อดูชาวบ้านขึ้น ลงเรือกลับบ้านหลังเลิกงาน พระอาทิตย์..สาดแสงสีแดงเจิดจ้ากระทบกับสายน้ำเบื้องหน้า เรือลำใหญ่ลอยลำอยู่ไม่ไกลหลังการเดินทางอันยาวนาน เยื้องออกไป เรือโดยสารลำขนาดกลางกำลังทำหน้าที่รับส่งชาวบ้านเพื่อไปส่งอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ เขาห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปในบริเวณท่าเรือ..ไม่รู้เพราะอะไร



                                                   พระอาทิตย์ตกริมแม่น้ำอิระวดี
            เมื่อวานตอนเย็น..เรานั่งดูพระอาทิตย์อัสดงอยู่บนเจดีย์แห่งใดแห่งหนึ่งที่บากาน วันนี้..เรามานั่งดูพระอาทิตย์ดวงเดียวกันตกอยู่อีกที่หนึ่ง...ย่างกุ้ง พรุ่งนี้เย็น..เราจะเห็นอย่างเดิมแต่คนละที่ บ้านเรา..ประเทศไทย ที่ไหน ๆ ในโลกก็ไม่เหมือนบ้าน ที่มีความรัก ความอบอุ่น รออยู่ แม้จะมีปัญหามากมายภายในประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่า แม่บุญจะหมดรักประเทศของเรา ถ้าเทียบกับไซ..แม่บุญภาวนาขอเกิดเป็นคนไทย อยู่ภายใต้ร่มเงาของศาสนาพุทธ อันมีในหลวงของเราที่พวกเราชาวไทย เคารพรักพระองค์ท่านเหนือกว่าสิ่งใด หากจะมีบุญได้เกิดอีกครั้ง..สาธุ


                                            จบบริบูรณ์ ..เที่ยวพม่ากับแม่บุญ

13/11/53

ชมโรงงานทำเครื่องเขินที่บากาน

๓๑ มกราคม ๒๕๕๒

        เช้านี้เรามีโปรแกรมส่งท้ายลาบากานด้วยการไปชมโรงงานผลิตเครื่องเขินอันขึ้นชื่อของที่นี่ ไซมารับไปที่โรงงานนอกเมืองห่างออกไปราวหนึ่งชั่วโมง มิเชลยังคงท้องเสียอยู่บ้างแม้จะน้อยลง ไซบอกข่าวดีให้เราว่าเจ้านายตกลงใจยอมซื้อตั๋วเครื่องบินกลับย่างกุ้งให้มิเชล ส่วนแม่บุญก็ตามที่คุยกันไว้คือซื้อเอง ตกลงเราก็ได้ทุ่นเวลาที่จะต้องระหกระเหินบนรถไปสองวันหนึ่งคืน และต้องนั่งรถทั้งวันย้อนไปทางเดิมที่มา..สนุกเสียที่ไหนกัน ?? แม่บุญดีใจจนบอกไม่ถูก คิดว่าพระพม่าท่านคงเข้าใจที่แม่บุญขอเลยช่วยให้เราได้กลับเร็วขึ้น ดีใจที่หากมีอะไรมากกว่านี้อย่างน้อย ที่ย่างกุ้งก็มีโรงพยาบาลที่ดีกว่าที่นี่แน่นอน

             เราไปดูโรงงานเล็ก ๆ ทำเครื่องเขินกันแบบในครัวเรือน มีคนงานทำงานอยู่ร่วมสามสิบกว่าคน แต่ละคนกำลังขมักเขม้นทำงานของตัวเอง ช่างที่ลงเขียนรูปนั่งตาแทบจะติดกับภาชนะที่วาด ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำงานได้ยังไงกับแสงที่มีเพียงเล็กน้อย ไฟฟ้าก็ไม่มี สายตาคงเสียกันแน่ ๆ ก่อนแก่ งานที่ทำมีออเดอร์จากอเมริกาก็มี พวกนักสะสมของเก่าก็มี แม่บุญเองเดินดูรอบ ๆ ชอบใจพวกของเก่าที่ใช้แล้ว แต่ราคาของแต่ละชิ้นทำให้กลืนน้ำลายลงคอหลายครั้ง ที่ทำได้ซื้อได้ก็เพียงซื้อถ้วยสำหรับใส่น้ำชา ที่ทำจากหางม้าเอามาทากาววนรอบ ๆ ถ้วยที่ทำจากไม้ไผ่ที่ถูกเหลาจนบางเฉียบ หลังจากนั้นก็ลงครั่งให้ติดนาน ตากแดด เอามาขัด ลงสี ..ยิ่งมีสีมาก ก็ยิ่งทำงานมากขึ้นอีกหลายขั้นตอนเพราะต้องรอให้สีแรกที่ลงแห้งก่อน รู้อย่างนี้แล้ว ถ้วยที่ซื้อราคาใบละหนึ่งดอลล่าห์ไม่แพงเลยสำหรับแม่บุญ เราดูอยู่ได้เกือบชั่วโมงก็พากันกลับ เพราะมิเชลปวดท้องอีกแล้ว

        มิเชลขอกลับไปนอนที่โรงแรม ปล่อยให้ไซพาแม่บุญตระเวณดูรอบ ๆ เมืองบากานทั้งเก่าและใหม่ ขากลับเห็นคนขึ้นบอลลูนที่อยู่สูงขึ้นไปไม่มาก เข้าใจว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่ยอมเสียเงินแพงเพื่อดูวิวเมืองบากานในมุมสูง หวังว่าคงจะได้ภาพสวย ๆ นะ



         สองสาวอเมริกันนั่งรถม้าผ่านไป เขาไม่ทันเห็นแม่บุญกับไซที่นั่งรถสวนทางมา นี่แหละชีวิตนักเดินทาง พบกัน พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์กัน แล้วก็จากกัน อาจจะมีบ้างที่ยังคบหาติดต่อกันอยู่ แต่จากประสบการณ์ของเราสองคนพอจากกันแล้ว ก็ต่างคนต่างไปไม่ค่อยได้ติดต่อกันอีก คงเพราะต่างมีภาระหน้าที่ของตนเองนั่นเอง


                                          หญิง ชายพม่าในพิธีแต่งงาน

          กลับมาถึงโรงแรมประมาณห้าโมงเย็น เห็นมิเชลยืนถ่ายรูป ชาวพม่าหญิง ชาย ที่กำลังทำพิธีแต่งงาน มิน่าเมื่อวานถึงเห็นเขาตกแต่งห้องอาหารเสียสวยงาม ดีใจที่มิเชลลุกออกมาได้ แสดงว่าคงดีขึ้นบ้างแล้ว ตอนเย็นเราสองคนดินหาข้าวกินแถว ๆ โรงแรม มิเชลขอกินซุปใส ๆ ใส่ผักนิดหน่อย ไม่แตะเนื้อสัตว์ใดๆ แม่บุญก็เช่นกัน พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราจะได้กลับย่างกุ้ง และหลังจากนั้นอีกสองวันการเดินทางเที่ยวพม่าของเราสองคนก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์

๑ กุมพาพันธ์ ๒๕๕๒

       มิเชลตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ดีกว่าเดิม อาการถ่ายน้อยลงจนเกือบปกติ แต่ก็ยังไม่วางใจในอาหารจานใด ๆ ที่มีเนื้อสัตว์ หลังอาหารเช้าที่มีเพียงกาแฟ กับขนมปังปิ้งคนละสองแผ่น เราก็ขึ้นรถไปที่สนามบินบากาน ไซ..แซวเราสองคนว่าทิ้งเขาได้อย่างไร จริง ๆ แล้วเราต้องร่วมทางกันกลับไปนอนที่ตองอูก่อนหนึ่งคืน แล้วเดินทางกันอีกหนึ่งวันจนถึงย่างกุ้ง มิเชลกับแม่บุญอดหัวเราะไม่ได้

       ระยะเวลาสิบกว่าวันที่ระหกระเหินไปในที่ต่าง ๆ ด้วยกัน แยกกันเฉพาะตอนนอนเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะต้องก่อเกิดความผูกพันต่อกัน เราพูดคุยกันเรื่องของชีวิตของแต่ละคน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน สงสารไซ..ที่เลือกเกิดไม่ได้ แม่บุญบอกเขาว่า แต่เราก็เลือกที่จะดำเนินชีวิตเราได้ ไซบอกว่า..ใช่ที่ประเทศของเธอ แต่ไม่ใช่ที่นี่..โธ่เอ่ยชีวิต จะให้ช่วยได้อย่างไร  ไซ..ขับรถจากไปหลังจากมาแวะส่งเราสองคนที่สนามบินบากาน คงเหงาแย่เลย ขับรถอีกวันกับคืนกว่าจะถึงย่างกุ้ง แล้วพบกันนะไซ ที ห้า ขอให้โชคดี

         เรามองสนามบินที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนสนามบิน เหมือนโรงเก็บเครื่องบินมากกว่า ตอนที่เราไปถึงยังไม่มีผู้โดยสารมากนัก มีเพียงเด็กสาวผมยาวจนถึงตาตุ่มมาเปิดร้านขายของที่ระลึกที่จำพวกเครื่องเขิน

         เครื่องบินมาตรงเวลาใช้ได้แฮะ ดูแล้วไม่ต่างจากสายการบินลาวที่เราเคยใช้บริการครั้งหนึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา บนเครื่องบินมีบริการเพียงเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ใช้เวลาแค่ชั่วโมงกว่าเราทั้งคู่ก็มาถึงสนามบินกรุงร่างกุ้ง เท็กซี่จากบริษัททัวร์ถูกส่งมารอรับตั้งแต่สาย ๆ และตรงดิ่งไปที่โรงแรมที่เราจะเข้าพักสองคืนสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย


ใจกลางเมืองร่างกุ้งจากมุมสูง

     โรงแรมเซ็นทรัล..ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ราคาที่พักคืนละ ๒๕ ดอลล่าร์ ทำให้เกิดความสะดวกสบายกว่าพักเกสต์เฮ้าส์ในคืนแรกอย่างลิบลับ ผู้จัดการบริษัททัวร์เข้ามาต้อนรับอย่างใจดี เขามีเคาร์เตอร์ทัวร์ที่นี่ด้วยเพื่อติดต่อกับนักท่องเที่ยวได้อย่างสะดวก ก็ที่นี่แหละที่เรามาติดต่อทัวร์ในวันที่สองที่มาถึง เขาถามเราเรื่องความสะดวกสบายที่ได้รับตลอดการเดินทาง และขอให้เขียนคอมเม้นท์ลงในสมุดเพื่อให้นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่จะมาใช้บริการได้เกิดความมั่นใจในบริการของบริษัท หลังจากนั้นเราสองคนก็ขอตัวแยกไปพักผ่อน

 กรุงร่างกุ้ง


      แม่บุญอยากเดินไปเที่ยวตลาดเพราะอยากดูว่าจะสามารถซื้ออะไรติดไม้ติดมือเป็นของที่ระลึกจากพม่าได้บ้าง มิเชลนักเดินทางผู้ทรหดขอไปเดินด้วย หน้าที่ดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมากทำให้คลายความกังวลไปได้เยอะทีเดียว เราสองคนเดินดูตลาด แวะเข้าซอกซอยต่าง ๆ ดูชีวิตของชาวพม่าที่อยู่ กินกันอย่างไม่มีปากมีเสียงใด ๆ กับการปกครองของรัฐบาลทหาร ..

7/11/53

Bagan 5

            เราเดินทางกันต่อโดยมีการหยุดเข้าห้องน้ำเป็นระยะ ๆ ไซเองก็ดูกังวลมากกว่าที่ตอนแม่บุญเป็นเสียอีก อาจจะเป็นเพราะแม่บุญเป็นคนเอเชีย ภูมิต้านทานมันผิดกันกับของฝรั่ง เรียกว่าอึดกว่าเยอะทีเดียวไซเลยดูจะไม่ห่วงเท่าไหร่ มิเชลนั่งหลับคอตกไปหลายครั้งเพราะความเพลีย เล่นวิ่งเข้าห้องน้ำทั้งคืน จะไม่เหนื่อยก็คงกระไรอยู่ แม่บุญนี่จับสามีมาทรมานจริง ๆ ในที่สุดเราก็มาถึงวัดบนยอดเขา งานนี้แม่บุญฉายเดี๋ยว ไซคอยดูแลมิเชลอยู่ข้างล่าง แม่บุญเดินขึ้นบันไดจนหอบเพราะสูงเหลือเกิน บันไดมากมายหลายร้อยขั้นเหมือนจะท้าทายถึงความศรัทธาของคนพม่าที่มีต่อสิ่งศักดิ์


สิทธิ์ที่พวกเขานับถือ ว่าจะดั้นด้นขึ้นมาถึงยอดเขาเพื่อสักการะได้หรือเปล่า แม่บุญดีใจที่ไม่หมดแรงก๋วยเตี๋ยวน้ำกลางทางเสียก่อน เดินบ้างพักบ้างจนถึงยอดเขา มีเด็กผู้หญิงสองคนเข้ามาดูรูปที่แม่บุญถ่าย ยกนิ้วโป้งให้ว่าสวย แม่บุญเลยขอถ่ายรูปเขาสองคนเลยได้ยิ้มกันใหญ่ เขาคงเห็นแม่บุญมาคนเดียวเลยอยากช่วยอธิบาย แต่ภาษาไทยกับพม่ามันยังไม่มาบรรจบกันเหมือนแม่น้ำโขง เลยได้แต่ใช้ภาษาใบ้ ภาษามือช่วยกันจนเหนื่อย ลมเย็นที่พัดมาอ่อน ๆ ช่วยให้สดชื่นขึ้นอย่างมากมาย


                                                วัดบนภูเขาสูงเสียดฟ้า

                                             เด็กสาวพม่าผู้มีน้ำใจทั้งคู่

                        แม่บุญเดินกลับทางเดิม พึ่งเห็นว่าบันไดมันชันจริง ๆ ตอนขึ้นมัวแต่เหนื่อยเลยไม่ทันสังเกตุ จำไม่ได้ว่ากว่าจะขึ้นไปถึงปีนกระไดไปกี่ร้อยขั้น ที่แน่ ๆ มากกว่าดอยสุเทพบ้านเราแน่นอน ลงมาข้างล่างมิเชลนั่งรออยู่ใต้ร่มไม้ หน้าตาไม่ดี เลยรีบพากันขึ้นรถกลับ ถามแกว่าจะยังไปดูพระอาทิตย์ตกไหวหรือ แกพยักหน้ารับ เราเลยไปนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกอีกรอบ คราวนี้เปลี่ยนที่ใหม่ เจอชายชาวไทยสามคนมาเที่ยวเลยได้พูดคุยกัน ค่ำนั้นพวกเขาเชิญเราไปกินอาหารที่โรงแรมที่พวกเขาพักเพราะมีรายการพิเศษมีการชักหุ่นเล่นละครแบบพม่าด้วย ไปก็ไปแต่มิเชลไม่กล้ากินอะไรเลยนอกจากข้าวเปล่าและน้ำเปล่า


เรากลับมาที่โรงแรมโดยยังไม่มีคำตอบว่าเจ้าของบริษัททัวร์เขาจะว่ายังไง ??






                                                 อีกมุมมองพระอาทิตย์ตกที่บากาน

28/10/53

Bagan 4

๓๐ มกราคม ๒๕๕๒

         เช้านี้แม่บุญตื่นขึ้นมาด้วยความกังวล มิเชลยังมีอาการท้องเสียแต่ไม่อาเจียนแล้ว แกบอกให้แม่บุญไปเที่ยวตามโปรแกรมที่จัดไว้ เพราะยังไงเราก็จ่ายตังค์เขาไปหมดแล้ว เสียดายที่จะต้องมานั่งเฝ้ากันอยู่โรงแรม แม่บุญบอกว่าถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน ตอนที่ไปเที่ยวมัณฑะเลย์แม่บุญยังหอบสังขารไปได้ มิเชลก็ต้องทำได้เหมือนกัน ว่าแล้วก็จับแกกินยาก่อนออกเดินทาง เรื่องอาหารเช้าแม่บุญกินคนเดียวไม่มีอะไรมาก กาแฟหนึ่งถ้วย ขนมปังทาเนย แยม สองแผ่น กล้วยหนึ่งลูก จบ มิเชลตัดไปเพราะไม่อยากท้องเสียกลางทางอีก ตกลงทริปนี้เลยไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบเพราะท้องเสียเหมือนกัน
      ไซมารับแปดโมงตรงตามที่นัดไว้ และ บอกเราว่าโทรไปหาเจ้านายเล่าเรื่องที่มิเชลท้องเสียใหเจ้านายฟัง จริง ๆ แล้วไซมีหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของเราสองคนกับเจ้านายทุกวันว่า วัน ๆ พาเราสองคนตระเวณไปไหน ทำอะไรกันบ้าง พักที่ไหน เจ้านายรู้หมด ดู ๆ ไปราวกับเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศก็ไม่ปาน ต่างกันเพียงแต่ไม่มีรถนำขบวนเท่านั้นเอง

      โปรแกรมวันนี้เป็นการตระเวณดูเจดีย์สำคัญ ๆ ที่เรายังดูกันไม่ครบ และวัดที่ตั้งอยู่บนเขาอีกแห่งหนึ่ง ส่วนระหว่างทางจะแวะดูอะไรนอกเหนือจากนี้ก็แล้วแต่ไซของเรา ส่วนที่ขาดไม่ได้คือ ไปดูพระอาทิตย์ตกอีกรอบเป็นการซ่อมจากเมื่อวานเพราะมิเชลอาการไม่ดี แห่งแรกที่เราไปเยี่ยมชมคือ

เจดีย์ธรรมยาจี ( Dhamma-yan-gyi Pahto )

      เป็นเจดีย์ที่สร้างในสมัยพระเจ้านรถุ ( Narathu ) อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 1710-1713 เป็นเจดีย์ที่มีการเผาอิฐละเอียด ฝีมือประณีตแบบช่างพุกามโดยแท้ แต่สร้างไม่เสร็จเพราะกษัตริย์นรถุถูกปลงพระชนม์เสียก่อน ด้วยฝีมือพระเจ้านรสีหะ ( Naratheinkha ) ผู้เป็นพระโอรส ซึ่งขึ้นครองราชสมบัติในเวลาต่อมา


                                                               เจดีย์ธรรมจายี


เจดีย์มนูฮา

        
          สัญญลักษณ์เด่นคือ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งประดิษฐานอยู่ในซอกแคบ ๆ พระพักตร์อมยิ้ม แบบอิ่มบุญและงดงามมาก สร้างในสมัยเดียวกันกับนครวัด นครธมของกัมพูชา


                        นอกจากนั้นก็ไปเยี่ยมชมเจดีย์ ต่าง ๆ เช่น Kubyaukkyi Temple ( Myinkaba ), Gawdawpalin temple, Shergugyi temple, That Byin Nyu temple ต้องขอโทษที่ไม่ได้ค้นประวัติของทุก ๆ เจดีย์มาให้ได้อ่านกัน เพราะกลัวจะเป็นเขียนเรื่องประวัติศาสตร์เกินไป เดี๋ยวเบื่อกันก่อน เที่ยวสบาย ๆ สไตล์แม่บุญนี่แหละ ใครอยากรู้มากกว่านี้เปิดอินเทอร์เน็ตอ่านเอาเองก็แล้วกันเนาะ

                                                                   Sulamani Temple                                         

        ระหว่างทางเจอขบวนบวชนาค มีรถเครื่องเสียง พร้อมลำโพงเปิดเพลงดังสนั่นไปทั้งถนน จะไม่ลงไปดูก็จะกระไรอยู่ เลยลงไปยืนดูเหตุการณ์ว่าเขาทำกันยังไงอยู่สักพัก ไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องก็เลยพากันนั่งรถต่อ ไปวัดบนภูเขา ระหว่างทางมีสถานที่ให้ชมวิธีการทำเหล้าสาโท..เหล้าขาว จากลูกตาล มีการสาธิตการขึ้นไปเก็บลูกตาลลงมา แล้วนำเอาน้ำข้างในมาต้ม ไอน้ำที่กลั่นออกมาไหลไปตามท่อที่ต่อลงปากขวดไว้รองรับ น้ำสีขาวสดใสเหมือนตาตั๊กแตนนั่นแหละดีกรีร้อนแรงนักแล คงจะคล้าย ๆ เหล้าขาวบ้านเรานั่นแหละ งานนี้มีให้ชิมและขาย แต่เราสองคนไม่อยากน็อคกลางทางเลยขอดูเฉย ๆ


                                                   สาธิตการทำเหล้าขาวจ้า

       ใกล้ ๆ กันมีแม่ลูกกำลังนั่งกันอยู่  ระหว่างขาสองข้างมีลูกชายตัวน้อยนั่งฉี่และอึอยู่อย่างสบายใจ มิเชลชอบใจในวิธีการง่าย ๆ เลยขอถ่ายรูปไว้บอกว่าจะเอามาให้ลูกสาวดู ของธรรมดา ๆ บ้านเราฝรั่งเขาเห็นเป็นของแปลก เพราะที่บ้านเขาไม่ทำกัน ก็มันคนละภูมิอากาศจะให้มาล่อนจ้อนแก้ผ้าฉี่ อึ แบบเราคงเย็นตูดแย่ไปเลย
 
                                           ปล่อยทุกข์แบบมีความสุขของหนูน้อย

        ยังมีการทำน้ำมันจากถั่วแดงเมล็ดใหญ่มาก วิธีการก็คือเอาถั่วใส่ในหลุมที่ทำจากไม้ แล้วผูกวัวให้หมุนไม้ที่ใช้บดถั่วเป็นวงกลม บดไปบดมาก็จะได้น้ำมันถั่วไหลออกมาใส่หม้อที่ตั้งรองรับไว้ด้านล่าง วิธีการง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องมีอุปกรณ์มากมาย มีวัวตัวเดียวทำได้สารพัดอย่าง ทั้งไถนา ขนข้าว เป็นพาหนะ ฯลฯ ประโยชน์อเนกอนันต์จริง 
                                                     สาธิตการทำน้ำมันจากถั่วแดง
 
           ระหว่างทางมิเชลยังคงมีอาการท้องเสียเป็นระยะ ๆ ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิดเลย หลังอาหารกลางวันที่มีเพียงแม่บุญกับไซ กินก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่ใส่เนื้อสัตว์อีกตามเคย สงสารมิเชลจนต้องขอต่อลองกับเจ้าของบริษัททัวร์ แม่บุญให้ไซต่อโทรศัพท์ให้และขอร้องให้เขาซื้อตั๋วเครื่องบินขากลับไปย่างกุ้งให้มิเชล ส่วนของแม่บุญนั้นจะซื้อเอง เพราะหากให้แกนั่งรถไปอีกสองวันกลัวว่าอาการจะหนักกว่านี้ มดหมอก็ไม่มีให้พออาศัยได้เพราะอยู่ไกล เกิดเคราะห์หามยามร้ายแกเป็นอะไรไปใครจะรับผิดชอบ งานนี้เจ้าของบริษัทเริ่มคิดมาก ขอคิดก่อนแล้วจะตอบกลับอีกที แม่บุญก็เข้าใจสถานการณ์ แต่เงินที่เราจ่ายไปหากหักมาซื้อตั๋วให้มิเชลเขาก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรมากมาย แถมประหยัดค่าโรงแรม ค่าจิปาถะอีกสองวัน แม่บุญต้องพูดสัมทับให้เขาคิดทบทวนดู