24/8/53

มิงกุน พระราชวังมัณฑะเลย์

๒๗ มกราคม ๒๕๕๓

มิงกุน พระราชวังมัณฑะเลย์

           หกโมงเช้าเราสองคนตื่นด้วยความเคยชิน เพราะไซจะมารับตอนแปดโมง เราต้องกินข้าว ทำธุระให้เสร็จก่อน โปรแกรมสำหรับสองวันที่นี่คือไปชม Sagaing, Mingun, Mandalay Palace,Amarapura, Innwa Pinya, Palaik เยอะดีแฮะ แต่จะรอดไหมเนี่ย ??

           แปดโมงตรงไซมารับถึงห้องอาหาร แม่บุญกินเพียงน้ำข้าวต้มร้อน ๆ เท่านั้นจริง ๆ กินแล้วนั่งเฉย ๆ รอดูว่าท้องจะเสียอีกหรือเปล่า ตกลงไม่เป็นไรออกเดินทางกันเลย ไซดูจะคุ้นเคยกับที่นี่มากคงเพราะพาแขกมาเที่ยวบ่อย ๆ รถขับผ่านตัวเมืองยามเช้าที่จอแจไปด้วยรถเมล์ รถมอเตอร์ไซค์ รถจักรยาน รถสองแถวที่เห็นวิ่งผ่านไป มีพระโหนท้ายจีวรปลิวว่อน ถ่ายรูปไม่ทันเพราะรถสองแถววิ่งเร็วมาก
          รถผ่านใจกลางเมืองมีหอนาฬิกาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางถนน ตอนรถติดยังมีขบวนรถบ่าวสาวจอดข้าง ๆ เราสองคนโบกมือให้ พวกเขายิ้มรับหน้าตามีความสุข คนไปทำงาน นักเรียน หิ้วปิ่นโตใส่ข้าวไปกินกันแทบทุกคน ดูน่ารักจริง ๆ ในที่สุดรถก็วิ่งมาถึงท่าเรือที่จะพาเรามุ่งสู่เมือง มิงกุน ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี

          ที่พม่าใช้เส้นทางคมนาคมทางน้ำเยอะมาก เป็นเหมือนสายเลือดหล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศเพราะไหลผ่านเมืองใหญ่ ๆ คำว่า อิรวดี หรือ ชาวพม่าเรียกว่า รุอยาวดี แปลว่า มหานที มีต้นกำเนิดอยู่ที่รัฐ กะฉิ่น ตอนเหนือสุดของพม่า ไหลออกทะเลอันดามันสู่มหาสมุทรอินเดีย รวมระยะทาง ๒๑๗๐ กิโลเมตร ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แหล่งวัฒนธรรมของชาวชนบทแห่งนี้

      

                                                           หอนาฬิกากลางเมือง



                                                                    ป้ายโฆษณาที่เห็น



เด็ก ๆ ลูกคนเรือแถวนั้น

             ที่ท่าเรือจึงจอแจ เต็มไปด้วยเรือโดยสารที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารไปเมืองต่าง ๆ อดคิดถึงแม่น้ำเจ้าพระยาของเราที่มีเรือด่วนเจ้าพระยาวิ่งบริการเหมือนกัน แตกต่างกันที่พม่าดูจะใหญ่กว่า เพราะแม่น้ำกว้างใหญ่กว่านั่นเอง อีกทั้งสองฝั่งก็ไม่มีตึกรามบ้านช่องมากมายเหมือนบ้านเรา



             มีเด็ก ๆ ลูกหลานชาวเรือวิ่งเล่นเต็มไปหมด บ้างก็มายืนมองฝรั่งต่างชาติ แม่บุญสงสารเลยจะเดินไปซื้อขนมมาแจก เจ้ากรรมจริง ๆ ที่ท้องเจ้าปัญหาเริ่มมีอาการขึ้นมาอีก รอช้าไม่ได้แล้ว บอกมิเชลว่าจะไปหาห้องน้ำ วิ่งไปถามแม่ค้าแถว ๆ นั้นเขาชี้บอกทางให้ แม่บุญเผ่นแทบไม่รอให้เขาหยุดพูด พอวิ่งไปถึงต้องยืนรอคิวอีกหนึ่งคน ใครที่เคยท้องเสียคงนึกออกว่ามันทรมานขนาดไหน รอไม่นานก็ถึงคิวแม่บุญ เหมือนยกภูเขาออกจากท้อง เหงื่อไหลราวกับวิ่งร้อยเมตร
 
                   แม่บุญเดินหน้าซีดเป็นไก่ต้มไปซื้อขนมกับแม่ค้าคนที่ชี้ทางไปปลดทุกข์ ..อุดหนุนแกหน่อยเพราะมีน้ำใจกับเรา ซื้อขนมเหมามาสามสี่แพค เดินมาที่กลุ่มเด็ก ๆ เกือบโดนเด็กรุม..มิเชลมาช่วยเป็นกรรมการให้เด็ก ๆ เข้าแถว บางคนฉลาดมีเข้าเวียนอีกรอบ เข้าใจหรอก นาน ๆ จะได้กินขนมที่มีคนมาแจก ลำพังจะขอเงินพ่อแม่มาซื้อคงต้องรออีกนาน ตอนไปอินเดียแม่บุญกซื้อขนมแจกแบบนี้ บางคนเขาว่าเดี๋ยวเด็กฟันผุ..ให้มันได้ผุเถอะหากจะเป็นเพียงการได้รับของเล็ก ๆ น้อย อาจจะปีละครั้งด้วยซ้ำไป คิดมากกันไป...คิดถึงตัวเองตอนเป็นเด็กแล้วอยากกินขนมสิ..เหมือนกันนั่นแหละน่า..
 
         แล้วก็ได้เวลาเรือออก มีแต่นักท่องเที่ยวทั้งนั้น เรือแล่นช้า ๆ ไปตามลำน้ำให้ได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนแถบริมน้ำ เป็นธรรมดาที่บ้านจะสร้างแบบใต้ถุนสูงเพราะเวลาน้ำหลากจะได้ไม่ท่วมบ้าน ส่วนฝั่งตรงข้ามดูจะเป็นแนวสันทรายที่เกิดจากน้ำลด ไซ..บอกว่า เวลาถึงฤดูแล้ง น้ำลดคนที่ไม่มีบ้าน หรืออาศัยอยู่ไกล ๆ แต่ต้องมาทำงานที่นี่ จะพากันมาสร้างกระท่อมหลังเล็กตามแนวทรายไว้เป็นที่อยู่พอฤดูฝนก็ไปอยู่บ้านจริง ๆ ของตัวเอง บ้านที่เห็นเลยเป็นบ้านแบบรื้อแล้วสร้างใหม่ตลอด เหมือนบ้านตากอากาศเลยเนาะ
 

ชีวิตชาวเรือพม่า




คุณตาพม่า

           เรือแล่นแบบใจเย็น ๆ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงเราก็มาถึงมิงกุน..พอเรือเทียบท่า ก็มีผู้คนหญิงชายชาวบ้านมากมายมารอรับราวกับรู้จักมักคุ้นกันมานาน มีหนุ่มน้อย สองคนมาประกบเราสองคนไว้ แล้วก็แนะนำตัวว่าเป็นชาวบ้านที่นี่ เรียนหนังสือและต้องการหารายได้พิเศษเป็นทุนการศึกษา จะขออาสามาเป็นไกด์ให้ เราสองคนบอกว่ามีไกด์แล้ว..ข้าง ๆ นี่ไง อยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้วด้วย เขาบอกมีแล้วมีอีกก็ได้ เอาก็เอา..แต่ไม่จ่ายตังค์แล้วนะ เพราะที่จ่ายไปก็เกือบหมดตัวแล้ว..เราออกเดินเขาก็เดินตามอธิบายไปเรื่อย ๆ เราจะฟังหรือไม่ฟังก็ไม่เป็นไร...มันยังไงกันนะ ไม่ไกลกันมีคุณตายิ้มโชว์ฟันหลอขี่เกวียนมา บอกให้ขึ้นเกวียนจะพาไปเที่ยวให้รอบ ๆ มิเชลไม่ยอมเพราะอยากเดินดูเองมากกว่า






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น