13/6/53

จาก ตองอู ไป ทะเลสาบอินเล

๒๓ มกราคม ๒๕๕๒

ตองอู ทะเลสาบอินเล



ตื่นกันแต่เช้าเพราะวันนี้จะใช้เวลาเดินทางกันเกือบสิบชั่วโมง อาหารเช้าเขาเตรียมไว้ให้เราหลายอย่างมีแบบพม่าด้วย แต่เรากินกันเพียงขนมปังปิ้งและกาแฟเท่านั้น ไซ กินก๋วยเตี๋ยวอีกตามเคย ถามก็บอกว่าชินแล้ว แต่แอบสอบถามอีกหลาย ๆ ครั้งถึงรู้ว่าเขาพึ่งมีลูกอ่อนพึ่งคลอดได้สามเดือน ไซเลยทำงานมาก ๆ เพื่อหาเงินไปเลี้ยงลูก นี่แหละหนาความรักของพ่อและแม่ ยอมอดเพื่อลูกจะได้กินอิ่ม ใครลืมนึกถึงบุพการี...บาปนะ มีพระสองรูปมาบิณฑบาตเราเลยยกมือไหว้อนุโมทนาบุญไปกับเจ้าของบ้านด้วย





แปดโมงเราก็ออกเดินทางต่อ ทางในช่วงนี้เดินทางลำบากมากเพราะแทบจะไม่มีทางราดยางเลย ดินแดง ฝุ่นตลบตลอดทาง ยิ่งอากาศร้อนและแห้งด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ระหว่างทางเราก็ได้เห็นวิถีชีวิตประจำวันของคนพม่า ที่แทบไม่ต่างจากชนบทของไทย เมื่อครั้งไปเยือนประเทศลาว ข้ามไปถึงหลวงพระบาง คิดว่าบ้านเรือนคนลาวเหมือนไทย แต่เป็นไทยทางภาคเหนือ ส่วนตามชนบทของพม่ากลับมีความคล้ายคลึงกับบ้านเรือนไทยทางภาคอิสานที่บ้านยกพื้นสูง บางแห่งปลูกด้วยไม้ไผ่บ้าง ใบจากใช้มุงหลังคาบ้าง ดูไปก็เล่าให้สามีฟังไปว่าบ้านเราคล้ายกัน



สงสารไซที่ขับรถแบบนันสต๊อบเพราะไม่อยากให้ค่ำ ด้วยว่าหนทางที่ต้องวิ่งข้ามเขากลางวันยังลำบาก ถ้ามืดคงต้องจอดรถนอนข้างทางแน่นอน ไม่รู้ฝนฟ้าที่นี่ตกกันบ้างหรือเปล่าเพราะทั้งแห้ง ทั้งแล้ง รถวิ่งผ่านที่ไหนก็ฝุ่นตลบไปหมด บางแห่งที่เขาทำถนน จะเห็นคนพม่าทั้งหญิง ชาย นั่งตอกหินที่รถเอามาเทไว้ให้เป็นก้อนเล็ก ๆ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ มือไม้คงแตกยับเพราะนั่งทุบกันทั้งวัน ไม่เห็นมีรถ หรือเครื่องจักรหนักที่ใช้ในการสร้างถนนเลย แรงงานคนทั้งนั้น ...



เราเสียเวลากับการเดินทางด้วยรถหลายวัน เพราะระยะทางไกลและรถวิ่งได้แค่ที่เขากำหนดความเร็วให้ สิ่งที่ดีคือได้เห็นชีวิตของผู้คนพม่าว่าเป็นอย่างไร เราสองคนอาจจะโชคดีที่เจอแต่คนมีน้ำใจ อ่อนน้อมถ่อมตน มีน้ำใจกันมาก แต่หากเราเดินทางโดยเครื่องบินเราอาจจะใช้เวลาเดินทางน้อยลง แต่สิ่งที่เราเห็นตอนนี้เราคงไม่ได้เห็นแน่นอนถ้าเพียงนั่งเครื่องบินผ่านไป ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสแม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขกันทั้งสองคน





รถจอดแวะกินข้าวเที่ยงระหว่างทาง เป็นร้านอาหารที่มีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า เพราะมีแต่ฝรั่งนั่งกินกันอยู่ เหมือนเคยที่เรากินข้าวผัด หรือไม่ก็ก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ เหมือนไซ คิดถึงอาหารบ้านเราแล้วแม่บุญก็แอบกลืนน้ำลายไปหลายหน เราทำเวลากันได้ดีเพราะไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ออกเดินทางต่อ ผ่านเมือง Kalaw เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาที่มีชาวอังกฤษมาสร้างบ้านตากอากาศไว้พักผ่อน สมัยเมื่อยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ตอนนี้กลับเงียบเหงา มีเพียงร้านค้าเล็ก ๆ ที่เปิดขายอาหาร










เราสองคนลงไปเดินชมตลาดอีกตามเคย หน้าตลาดมีแม่ค้าขายขนมครกอยู่หนึ่งเจ้า ไปนั่งจับจองขอชิมสักครั้ง แต่รสชาติสู้พี่ไทยไม่ได้เลย ยังมีกุ้งเล็กทอดเป็นแพรวมกับผัก คิดถึงยำกุ้งกรอบขึ้นมาทันที ส่วนในตลาดก็มีพืชผักมากมายเหมือนไทย คนพม่ากินถั่วกันเก่งอาจจะได้รับอิทธิพลจากชาวอินเดียที่อพยพเข้ามาอยู่กันมาก ถั่วชนิดต่าง ๆ ทอดแล้วมีให้เลือกมากมาย ส่วนมากเขาเอาไปทำ เลอะเพ็ตโต๊ะ ยำถั่วพม่าใส่ชานั่นแหละ ยังมีถั่วเน่าที่เขานิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงในอาหารคล้ายคนไทยใส่กะปิในเครื่องแกง อดไม่ได้เลยซื้อติดมือมาด้วย เอามาลองทำน้ำพริกอ่องแบบชาวเหนืออร่อยไม่เลวเลย ใครอยากลองเวลาไปเชียงรายที่ชายแดนไทยพม่า มีขายราคาไม่แพง แล้วจะติดใจ



1 ความคิดเห็น:

  1. กุ้งกิ้ง15/6/53 13:02

    อ่านแล้วอยากกินขนมครกขึ้นมาทันทีเลยนะพี่ ตอนปั่นจักรยานต์ที่หลวงพระบาง เจอขนมครกข้างทางแวะจอดกินกันเลย เขายังใช้ใบตองเสริฟเหมือนของบ้านเราสมัยก่อน อร่อยสุดๆเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรจนมครกตำรับไทยก็อร่อยกว่า มีความหลายหลายมากกว่า เพราะคนไทยมีหัวคิดปรับแต่งอาหารได้ไม่แพ้ใคร
    กุ้งกิ้ง

    ตอบลบ